พนง.ดิไอคอน ร้อง ตำรวจลิดรอนสิทธิเสรีภาพ บอก บอสพอล เป็นเจ้านายที่ดีมาก

23 ต.ค. 67

 

พนง.ดิไอคอน บุก สน.พหลโยธิน ลงบันทึกประจำวัน ตำรวจลิดรอนสิทธิเสรีภาพ หลังคุมตัวสอบนาน-ยึดมือถือ บอก บอสพอล เป็นเจ้านายที่ดีมาก รักลูกน้องทุกคน 

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 67 ที่ สน.พหลโยธิน นาย วิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล เจ้าของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด พร้อมด้วย ตัวแทนพนักงานบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 6 คน จากทั้งหมด 10 คน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปสอบปากคำในฐานะพยานเมื่อวานนี้ (22 ต.ค. 67)  เดินทางมาลงบันทึกประจำวัน เนื่องจากมองว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลิดรอนสิทธิและเสรีภาพ 

โดยนายวิฑูรย์ กล่าวว่า กรณีที่มีการตรวจค้นจุดสำคัญของบริษัท ดิไอคอนฯ เมื่อวานนี้ เรื่องตรวจค้นตนว่าเข้าใจว่า เป็นการทำตามหน้าที่ เพราะมีหมายค้นมา และการที่เอาทรัพย์สินของบริษัทไปก็ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงคือสิทธิเสรีภาพของพนักงานบริษัทดิไอคอนฯ เพราะเมื่อวานเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการนำตัวพนักงานของบริษัทดิไอคอนฯทั้งหมด 10 คน ซึ่งมีทั้งเป็นเลขาฯของบอสพอล น้องสาวของบอสพอล ผู้จัดการทั่วไป และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลบริษัท ณ เวลานี้ 

ตนรู้สึกไม่โอเคที่ว่า พอเข้ามาตรวจค้นแล้ว กลับมีการเชิญตัว โดยไม่มีหมาย และนำตัวทั้งหมดมาสอบปากคำที่กองปราบ โดยให้ปิดมือถือ ไม่ให้ติดต่อกับบุคคลภายนอก หากจะติดต่อกับบุคคลภายนอกก็ต้องเปิดสปีคเกอร์โฟน อีกทั้งยึดมือถือไปทั้งหมด 7 เครื่อง แต่สามารถนำกลับคืนมาได้ 3 เครื่อง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เริ่มเกินเลยจากที่เคยทำกันอยู่ ตนไม่ได้มีประเด็นอะไรกับการทำหน้าที่ของตำรวจ เพียงแต่ว่าคุณอย่าเกินขอบเขตของกฎหมาย ตนเข้าใจว่าอาจจะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ตนก็ไม่อยากไปดำเนินคดีแจ้งความมาตรา 157 กับตำรวจที่ทำหน้าที่เมื่อวาน เพราะเข้าใจว่าท่านก็ทำหน้าที่ในส่วนของท่าน แต่อาจจะเกินเลยสิทธิเสรีภาพไปบ้าง เพราะเป็นการทำหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา 

นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ที่จะมาร้องเรียนที่ สน.พหลโยธินวันนี้ จะเป็นการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เพื่อเป็นข้อมูลและในวันที่ 25 ต.ค. ตนอาจจะนำพนักงานที่โดนกระทำเหล่านี้ ไปยื่นร้องเรียนต่อจเรตำรวจ เพราะเราอยากให้ช่วยตรวจสอบการทำหน้าที่ของชุดกองปราบ ปคบ.3 และปคบ.3  ที่ลงพื้นที่ตรวจค้นเมื่อวานนี้ว่าทำโดยกรอบอำนาจของกฎหมายหรือไม่ และจะดำเนินการทางวินัยอย่างไร แต่ตนไม่อยากจะดำเนินคดีอาญากับตำรวจ และในถ้ามีเวลาเหลืออาจจะพาทั้งหมดไปร้องกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพราะเป็นการดำเนินการที่อยู่นอกกรอบรัฐธรรมนูญ 

และตนสืบทราบมาว่า จะมีการออกหมายจับชุดที่ 2  ซึ่งตนอยากส่งสารไปถึงสำนักงานยุติธรรม ช่วยดูแลเรื่องนี้หน่อย ถ้าตำรวจมาขอออกหมายจับ ขอให้ท่านช่วยพิจารณาโดยละเอียดว่ามีเหตุเพียงพอที่จะออกหมายจับหรือไม่ เพราะตอนที่ออกหมายเรียกพวกเขาก็เข้าไปให้การกัน ถ้าออกหมายจับขึ้นมาเท่ากับว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการต่อสู้คดีแ ละการชี้แจงตัวเอง เอาเขาไปขังไว้ในเรือนจำ ตนคิดว่าไม่โอเค ซึ่งน้องแต่ละคนที่โดนยึดมือถือ ตนถามว่าทุกคนได้เซ็นยินยอมหรือไม่ เขาบอกว่าเขาเซ็นยินยอม เพราะถ้าไม่เซ็นเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน เหมือนเป็นการบังคับโดยกลายๆ 

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า การสอบปากคำ ตนไม่ว่าอะไร แต่ขอให้เขาได้ติดต่อคนภายนอกบ้าง การเอาตัวเขาไปไว้นานๆ ตั้งแต่เที่ยงถึงสองสามทุ่ม มองว่ามันเกินเรื่องไปนิดนึง ซึ่งพนักงานเมื่อวานโดนเชิญตัวไปในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา และบรรยากาศการสอบปากคำของแต่ละคนในแต่ละห้องก็เหมือนเป็นลักษณะถูกกดดัน ไม่เอื้อให้เขามีสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรบางอย่าง แม้กระทั่งการติดต่อกับบุคคลภายนอก อ้างเป็นวิธีการของตำรวจก็อ้างได้ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย เพราะรัฐธรรมนูญใหญ่กว่าเทคนิควิธีการของตำรวจอีก จึงต้องลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้ว่าเราจะไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และสามารถใช้ยันในชั้นศาลได้ ถ้ากรณีในอนาคตมีความจำต้องดำเนินคดีกับตำรวจ 

ขณะที่ น.ส.น้ำ (นามสมมติ) เลขาของบอสปัน ซึ่งเป็น 1 ใน พนักงานที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปให้ข้อมูลเมื่อวานนี้ กล่าวว่า ตนทำหน้าที่เป็นฝ่ายบุคคลในบริษัทฯ ตอนที่ตำรวจมาตนยังไม่ตื่นนอน ซึ่งได้รับสายจากน้องที่ออฟฟิศโทรมาแจ้งว่ามีตำรวจมาขอพบ ซึ่งก็มีท่านหนึ่งประสานงานมาว่าวันนี้อยู่บริษัทหรือไม่ ตนจึงรีบเข้าไปที่บริษัท และสอบถามกับทางน้องว่าตำรวจมากี่นาย น้องก็บอกว่ามาเป็น 10 คนอยู่ แต่พอไปถึงแล้วก็มีหมายค้น เราก็ยินยอมและให้ตรวจค้นแต่โดยดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เชิญตนและพี่อีกคนหนึ่งขึ้นไปพบข้างบน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขอมือถือ และให้เปิดโหมดเครื่องบิน ซึ่งทุกครั้งที่มีการตรวจค้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยโดนกระทำแบบนี้ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และหลังจากที่ขอโทรศัพท์ไปแล้ว ตำรวจก็ถือไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งเรียกเข้าห้อง เป็นลักษณะการสอบสวนจริงๆ ไม่ได้มีหมายเชิญตัวมา แต่กลับมีการออก ณ เวลานั้น และเชิญเราไปเลย ระหว่างทางมีการบันทึกวิดีโอไว้ตลอด ซึ่งในมุมของประชาชนเรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ผู้ต้องหาก็ไม่ควรที่จะมาถูกทำอะไรแบบนี้ 

เพราะวันนี้เรามาในฐานะพยานที่ให้ปากคำ เพื่อเป็นพยานในเรื่องของคดีก็ไม่ควรที่จะโดนแบบนี้ หลังจากที่ไปถึงแล้วก็มีการสอบสวนใช้ระยะเวลาตั้งแต่เที่ยงจนถึงสองทุ่ม ซึ่งเป็นระยะเวลานานพอสมควร มีการถามข้อซักถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องของคดี โดยประเด็นที่ถามเป็นการถามชี้นำ 

น.ส.น้ำ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นขอบอกว่าเราอยู่ในฐานะพนักงาน แต่วันนี้เหมือนเราเป็นผู้ถูกกล่าวหา ตามสื่อโซเชียลระหว่างที่มีการสอบปากคำปาก ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามถามวนจนทำให้ตนรู้สึกหวาดกลัว เพราะตลอดการสอบสวนหลายชั่วโมง ถ้าเอาวิดีโอที่บันทึกมาเปิดดูจะเห็นว่าตนร้องไห้ตลอด เพราะในมุมของตน รู้สึกว่าเป็นเพียงพนักงานที่ทำงานในบริษัท เมื่อได้รับคำสั่งมาแบบไหนก็ทำแบบนั้ นแต่วันนี้กลับมาถูกสอบสวนเหมือนเป็นผู้ต้องหา รู้สึกกดดัน และใชช้คำพูดที่ใช้หวานล้อมตนมากกว่า ทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรม ซึ่งพนักงาน 10 กว่าคน โดนทุกคน โดยเฉพาะเรื่องการยึดมือถือ ซึ่งมีเอกสารให้เราเซ็นยินยอม แต่พนักงานหลายๆ คนก็ไม่อยากให้ เพราะเป็นอุปกรณ์ส่วนตัว บางคนมีมือถือเครื่องเดียวติดต่อกับใครไม่ได้ แล้วเมื่อวานตำรวจก็เก็บโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลา 

อย่างไรก็ตามก่อนที่บอสพอลจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวนั้น ก็ได้ให้กำลังใจพนักงานทุกคน เป็นเจ้านายที่ดีมากๆ และรักลูกน้องทุกคนมากๆ พวกเราทุกคนได้รับการดูแลอย่างดี เราอยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้อง และช่วยเหลือกันตลอด ในมุมมองการทำงานบอสพอลเป็นทั้งครูอาจารย์ในการสอน ให้แนวทางการดำรงชีวิตและใช้ชีวิตอย่างมีสติมากกว่า ซึ่งข่าวที่เกิดขึ้นบอสพอลก็บอกพนักงานว่าไม่ต้องกังวล เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

 

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส