สุดพีค ! ปานเทพ เปิด 2 พยาน “มี่-ปีเตอร์” สองผัวเมีย นักบัญชีธนาคาร และโปรแกรมเมอร์ แท้จริงเป็นผู้เสียหาย ถูกทนายตั้มหลอกซ้ำซาก
วันที่ 8 พ.ย.67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยถึงกรณีที่ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิดและภรรยา ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี 4 ข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
ระบุว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นข้อแรก ก็แสดงว่าผู้แจ้งข้อกล่าวหาคือ พี่อ้อย ได้แจ้งคดีกับทนายตั้มและพวก แล้วก็ชัดเจนได้ว่าสุดท้ายก็เป็นคดีฉ้อโกง ที่มีการกล่าวหาทนายตั้มรวมถึงคดีฟอกเงิน ก็แสดงว่าสิ่งที่พี่อ้อยได้ไปแจ้งความมันไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย แต่มันมีมูล ศาลจึงได้ออกหมายจับให้ตามที่ตำรวจร้องขอ
วันนี้ก็ต้องดูต่อไปว่า ทนายตั้ม ได้รับการประกันตัวหรือไม่ ซึ่งก็เป็นสาระสำคัญเช่นเดียวกัน ตำรวจก็มีหน้าที่พิสูจน์ว่าการอยู่นอกเรือนจำจะกระทบต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏหรือไม่ ต้องดูจากพฤติกรรม ทั้งบทบาทการแสดงออกผ่านสื่อ ทั้งการไปเกี่ยวข้องกับขบวนการต่างๆ โดยเฉพาะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเราขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนที่ได้ทำงานอย่างหนักในช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาและเห็นความตั้งใจว่า บางครั้งตำรวจต้องลับลวงพราง ดังเช่นว่า จะออกหมายจับก็แจ้งว่ายังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เพื่อไม่ให้เกิดการไหวตัวทัน ดังนั้นการที่อาจจะมีข้อมูลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ตำรวจแถลงมา ขอให้ทุกท่านได้เห็นใจทางตำรวจ และตนเชื่อว่าทุกคนเข้าใจเรื่องนี้
ส่วนเรื่องที่สองตอนนี้มีขบวนการอีกขบวนการหนึ่ง ได้มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ปล่อยข่าวไปยังอินฟลูเอนเซอร์ แล้วทำให้เขาเกิดความเข้าใจผิด เป็นแผนการปล่อยข่าวที่เป็นขั้นเป็นตอน โดยอินฟลูเอนเซอร์ ปล่อยข่าวออกมาเป็นข่าวลวง เนื่องจากมีการลับลวงพราง ข่าวลวงที่ว่าก็คือข่าวลวงว่าบุคคล 2 คนที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ คือ มี่ และปีเตอร์ ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับทนายตั้มและมาเป็นพยาน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มี่ และ เตอร์ เป็นผู้เสียหาย จึงมาเป็นพยานให้เป็นพยานที่รู้เรื่องเป็นอย่างดี และเป็นพยานให้เพราะตำรวจออกหมายเรียก จึงได้ให้การตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด ความพยายามที่ทำให้เกิดความหลงผิดในประเด็นที่ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อาจจะทำให้พยานกลับข้างไปอยู่เป็นพวกเดียวกันกับทนายตั้มได้ซึ่งอันตราย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มีการปล่อยข่าวออกไปว่า มี่ ไปถอนเงินสด 39 ล้านบาท แท้ที่จริงในวันนั้น มี่ อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่ได้อยู่ที่ธนาคารเลย เพราะฉะนั้นแล้วเป็นการปล่อยข่าวเพื่อกดดันพยานให้ย้ายข้าง เพราะฉะนั้นที่ตนมาชี้แจงในขณะนี้ก็ไม่อยากให้อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายที่มีมีบทบาทต่อการนำเสนอ ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อคดีความ
แน่นอนตนเชื่อว่าพี่อัจฉริยะ เป็นคนที่นำข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยผ่านสื่อ แน่นอนว่าปกติตำรวจและอินฟลูเอ็นเซอร์ เขาอาศัยซึ่งกันและกัน และสื่อก็ต้องการข่าว การที่ปล่อยข่าวแบบนี้ ตนเชื่อว่าพี่อัจฉริยะไม่รู้ว่ามันเป็นข้อมูลลวง ตนได้พบมี่และเตอร์แล้วเเมื่อคืนนี้ และได้สัมภาษณ์เองคนเดียว รวมทั้งได้เห็นหลักฐาน GPS ชัดเจนว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นการปล่อยข่าวลวงให้คนที่เขาเป็นพยานแล้วทำอาชีพสุจริตกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ว่าสมรู้ร่วมคิดกับทนายตั้ม เพื่อหวังว่าจะย้ายพยานฝั่งนี้ให้พวกเดียวกันกับทนายตั้ม
นอกจากการแก้ข่าวให้กับผู้สุจริตแล้ว ตนขออนุญาตนำเสนอว่ากรณีเรื่อง 71 ล้านบาท เมื่อทนายตั้ม ถูกจับแล้วเป็นคดีหลักตั้งแต่แรก มีการแจ้งความตั้งแต่ปากช่อง มาจนถึงการดำเนินงานของตำรวจสอบสวนกลาง ตนเรียนให้ทราบว่า ณ ถึงขณะนี้ ตามที่ตนได้เห็นข้อมูลข่าวสาร ไม่สามารถที่จะเป็นคดีให้โดยเสน่หาได้ ตนจะขออนุญาตเล่าเรื่องที่ยังไม่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อในคดี 71 ล้านบาทเป็นกรณีแรกก่อน
คือมีการเจอกันครั้งแรกเนื่องจากว่า มี่และปีเตอร์ เป็นสามีภรรยา คนหนึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ เขียนโปรแกรมไม่ใช่เฉพาะเรื่องสลากออนไลน์ เขาเขียนแอพพลิเคชั่นให้กับต่างชาติ ส่วน มี่ เป็นผู้บริหารระดับสาขาธนาคารแห่งหนึ่ง และมีประสบการณ์ทางธนาคารสูงมาก มีความละเอียดในเรื่องของการจัดเก็บเอกสาร พวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับทนายตั้ม เพียงแต่ว่าถูกทนายตั้ม หลอกเช่นเดียวกัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทีมนี้เขาเคยทำแอพพลิเคชั่น เขียนโปรแกรมสลากออนไลน์ชื่อ นาคี แต่ว่าเนื่องจากตอนนั้นมันมีข่าวเรื่องการกวาดล้างว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย ทนายตั้ม เป็นที่ปรึกษากฎหมายบริษัทเขา จึงมีการปรึกษากันว่าจะทำยังไงกับแอพฯนี้หรือไม่ ทนายตั้มบอกว่าเดี๋ยวจะหาทุนมาร่วมทุนให้เรื่องนี้ โดยที่ไม่เคยเปิดเผยว่า ทุน นั้นเป็นพี่อ้อย อยู่ที่ฝรั่งเศส บริษัทที่เขียนแอพพลิเคชั่นนาคี ทั้ง มี่และเตอร์ เขาเขียนโปรแกรมมาแล้ว เขาก็รวมค่าใช้จ่ายพร้อมอุปกรณ์ และขั้นตอนทุกอย่าง 20 ล้านบาท
"แต่ว่าทนายตั้มจะขอเปลี่ยนแปลงไม่ให้เป็น 20 ล้านบาท โดยให้เขียนว่า 2,000,000 ยูโร จนฝ่ายผู้เขียนแอพพลิเคชั่นยังสงสัยว่าเป็นไปได้หรือเขาจะเชื่อหรือ จาก 20 ล้านบาท มาเป็น 2,000,000 ยูโร ทนายตั้มบอกว่าทำได้ แต่ก็ไม่ได้บอกพี่อ้อยว่าเพราะอะไร โดยอ้างกับผู้เขียนแอพพลิเคชั่น ว่า มันเป็นค่าซื้อสลาก ทั้งที่มันเขียนว่าเป็นค่าอุปกรณ์ โดยการทำแอพฯมีกำหนดระยะเวลาส่งมอบงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 ถึง 1 กันยายน 2567"
สัญญาลงนามโดยบริษัทที่เขียนแอแอพพลิเคชั่นนาคี แต่การจะส่งงานพี่อ้อยได้ จะต้องผ่านทนายตั้มทุกครั้ง สัญญามี 2 ฉบับ แล้วทนายตั้มก็เอาสัญญาไปเลย แต่ในสัญญาเขียนว่า วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 จะต้องชำระเงิน แต่ปรากฎว่าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เงินไม่เข้า ก็เกิดการทวงถามว่าทำไมถึงยังไม่ได้ ทนายตั้มก็อ้างว่าเขายกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งทั้งที่จริงๆตัวทนายตั้ม ได้รับเงิน 71 ล้านบาท ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566
บริษัทที่เขียนแอพพลิเคชั่นนาคี เขาไม่ได้สัญญา แล้วก็ไม่ได้เงินด้วย จึงสงสัยว่ามีพิรุธอะไรบางอย่าง กลัวจะมีการใช้สัญญาเอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ จึงตัดสินใจแสดงความบริสุทธิ์ โดยการไปแจ้งความ ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 อันเป็นหลักฐานชัดเจนได้ว่าเขาไม่ใช่ขบวนการเดียวกันกับทนายตั้ม แต่เขาไม่รู้ว่าทนายตั้มรับเงินไปแล้ว 71 ล้านบาท เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ให้โดยเสน่หา เพราะเขาเป็นคนเสียหาย
เพราะที่ผ่านมาในระหว่างการทดลองแอพพลิเคชั่น เขาต้องไปซื้อสลากมาทดลองระบบจริง แล้วก็ดำเนินการจริง มีค่าออฟฟิศ มีค่าพนักงาน ถูกทำให้เชื่อว่าเขาต้องเดินหน้าลงทุนไปก่อน ดังนั้นเขาไม่ใช่เลขาของทนายตั้ม แล้วก็ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดกับทนายตั้ม
พอไม่ได้เงิน มี่กับเตอร์ ก็เลยไม่รู้สึกไว้วางใจกับทนายตั้ม กว่าจะรู้ว่าพี่อ้อยจ่ายเงินค่าแอพพลิเคชั่นให้ทนายตั้มแล้ว ก็คืออีกปีนึงเลย เหตุเพราะว่ามีการทวงถามจากทนายว่ามีการชำระเงินไปแล้วรู้หรือเปล่า แต่ในระหว่างนั้นก็ปรากฏว่าทนายตั้มเอง ตอนรับเงิน 71 ล้านบาท ไปก็เกิดปัญหาปลายปี 2566 ว่าจะจ่ายภาษียังไง
ก็เลยเป็นที่มาที่ตนไล่บี้ว่าทนายตั้ม จ่ายภาษียังไง เรื่องน่าสนใจมากตอนนั้นในคราวแรกทนายตั้ม จะเริ่มคุยกับทีมงานแอพฯนาคีว่าเอากลับมาได้ไหมแอพนี้ เพราะมันเริ่มเกี่ยวข้องกับภาษี แล้วก็เริ่มถามว่าเงิน 71 ล้านบาท ถ้าเกิดว่าเข้ามาผ่านบัญชีของบริษัทแล้วแบ่งประโยชน์ให้กับบริษัทนาคีทำได้ไหม
จนกระทั่งเกิดการทวงถามอย่างชัดเจนอีกครั้งนึงเมื่อต้นปี 2567 ก็เกิดเรื่องภาษีขึ้นว่าทนายตั้ม เมื่อหมดธันวาคม ทนายตั้มไม่ได้จ่ายภาษีเรื่องเงิน 71ล้านบาท เขาก็วางแผน เพราะว่ามันใกล้จะถึงรอบจ่ายภาษีช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทนายตั้มก็เสนอให้เอาเงินเข้าบัญชีบริษัท แบ่งเป็นยอด 30 ล้าน, 30 ล้าน และ 11 ล้าน โดยให้บริษัทจ่ายภาษีให้ แต่ขอเงินให้ทนายตั้มเกือบทั้งหมด และบริษัทก็รับเงินไป 10 ล้านบาท โดยจ่ายภาษีให้ด้วย 4.9 ล้านบาท บริษัทบอกไม่คุ้มและไม่ทำให้
ประมาณ 13 ตุลาคม 2567 ทนายตั้มส่งแอพพลิเคชั่นนาคีสีเขียว ที่จ้างทำเลียนแบบมาให้มี่และเตอร์ เสร็จแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะทำสัญญา แล้วให้บริษัทอำพรางว่าจะส่งแอพพลิเคชั่นนี้ให้ในนามบริษัท ให้สมอ้าง ทั้งที่แอพมันถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ บริษัทจึงปฏิเสธอีกรอบ
หลังจากตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ที่บริษัทนาคีไม่ได้รับเงินตามสัญญา แต่ก็ได้รับคำปลอบประโลมจากทนายตั้มว่า อย่าเพิ่งไปไหน ไม่ให้ไปเป็นศัตรูหรือไปเปิดเผยข้อมูล โดยอ้างว่าจะให้ทำการก่อสร้างโรงแรมให้ แต่เริ่มจากการออกแบบก่อน ก็เป็นที่มาของการเสนอให้ราคา 9 ล้านบาท บนพื้นที่ 4,000 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่มีสัญญา ทนายตั้ม บอกว่าไม่ต้องทำสัญญา บริษัทก็ทำใบเสนอราคาไป 9 ล้านบาท แต่ก็ได้ท้วงบริษัทว่าห้ามเอา vat ราวกับว่าจะไม่ให้อยู่ในสารบบ นี่คือที่มาของเงิน 9 ล้านอีกก้อน
แต่พอเสนอไปแล้วปรากฏว่าบริษัทของมี่และเตอร์ ไม่ได้งาน เพราะทนายตั้มตัดสินใจจะไปจ้างบริษัทอื่น ในราคา 3 ล้าน 5 แสนบาท ทางมี่และเตอร์ ก็เลยกลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนรับเงินโดยตรง จึงปรากฏภาพที่ตนนำเสนอผ่านสื่อก่อนหน้านี้ 9 ล้านบาท ในครั้งแรก นั่นไม่ได้โชว์รวย แท้ที่จริงเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะเขาถ่ายรูปพร้อมโลเคชั่นว่าไปส่งมอบเงินให้ที่บ้านของทนายตั้ม
หลังจากทนายตั้มรับเงินไป ในระหว่างทางทนายตั้ม มีการเอาเงินไปหนึ่งปึก ให้บุคคลหนึ่งที่ใกล้ชิดทนายตั้ม ชื่อดาว แล้วก็ให้คนขับรถเอาเงินหนึ่งก้อนนี้ไปส่งให้ แต่ที่เหลือเขาก็ขับรถไปที่บ้าน เอาเงินไปเก็บที่บ้าน
ดังนั้น 9 ล้านบาทจึงเป็นคดีความด้วย เพราะว่าตัวทนายตั้มไปทำภารกิจอื่นที่พี่อ้อยไม่ทราบว่ามีการจ้างบริษัทอื่นในราคาแบบนี้
จากนั้น ก็มีการพูดถึงการออกแบบก่อสร้างและทนายตั้มก็ชักจูงมี่และเตอร์เพื่อไม่ให้ความลับเปิดเผย อ้างว่าจะมีการสัญญาก่อสร้าง เป็นค่าก่อสร้างประมาณ 157 ล้านบาท พร้อมกับแผนทำธุรกิจด้วย
แต่ในที่สุดพี่อ้อย รู้สึกว่าผิดปกติก็เลยตัดสินใจยกเลิก เมื่อถูกยกเลิกสัญญาในการก่อสร้าง บริษัทมี่และเตอร์ ได้รับคำบอกเล่าจากทนายตั้มว่าไม่มีปัญหาหรอก ขอให้เดินหน้าไปเลย เขาก็ไปลงทุน เริ่มสั่งเสาเข็ม สั่งอุปกรณ์ทั้งหลายตามแบบ แต่ก็ไม่ได้สัญญาตัวจริงกลับมาอยู่ในมือเลย
ในที่สุดทนายตั้ม กลับมาก็ไม่ได้รับสัญญาจริง ต่อมาได้หนังสือจากพี่อ้อย วันที่ 8 มกรามกราคม 2567 ว่าขอบอกเลิกสัญญาก่อสร้าง ทีนี่ทนายตั้มก็บอกว่า เขาบอกเลิกสัญญามาแล้ว จึงปรึกษาทนายตั้ม ทนายตั้มบอกไม่เป็นไร งอนกัน ขอให้ทำงานไปก่อน
วันที่ 25 มกราคม 2567 ทนายของพี่อ้อย ส่งมอบหนังสือว่าไม่ได้มีการก่อสร้าง จึงขอยกเลิกมูลค่าการก่อสร้าง 157 ล้านบาท บริษัทก็เสียหายเป็นรอบที่สอง และรู้สึกว่าผิดปกติแล้ว ปรากฏว่าทนายตั้ม เสนอให้บริษัทดำเนินการส่งโนติส หรือใบแจ้งเตือนกลับไปหาพี่อ้อย ว่าจะเรียกค่าเสียหายอีก 30 ล้านบาท มี่กับเตอร์ ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ ในเมื่อทนายตั้มเป็นทนายสองฝั่ง แล้วไปให้เขาทำแบบนี้ได้ยังไง ทนายตั้มบอกว่าไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะให้ทนายทีมอื่นสวมเพื่ออำพราง ทางบริษัทเขาก็เลยรู้สึกว่าผิดปกติ เมื่อเห็นผิดปกติจึงไม่ได้ทำโนติสส่งไป เพราะรู้สึกว่ามันผิดปกติตั้งแต่เงิน 71 ล้านบาท และเงินค่าออกแบบ 9 ล้านบาท
ส่วนเรื่องคดีรถเบนซ์ ซึ่งแน่นอนว่ายอดปัจจุบันก็ไม่ถึง 13 ล้านบาท เพราะมีการสำรวจจากเต็นท์ที่ได้มาตรฐาน แต่ก็ในที่สุดก็มีการดำเนินคดีความไปในส่วนต่างนี้ 1.5 ล้านบาท
ต่อมาเป็นประเด็น 39 ล้านบาท ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่สุด เพราะว่าชัดเจนได้ว่า พี่อ้อย โอนเงินโดยอ้างว่าเป็นสแกมเมอร์ ให้กับดาราจีนที่ชื่อ เฉินคุณ ทนายตั้มพยายามพูดตอนแรกว่าตัวเองไม่มีความรู้ จึงแนะนำ นุ ให้รู้จัก แล้วก็อ้างว่าหลังจากนั้นก็โอนเงินให้ พี่อ้อยโอนเงินสด ส่วนเขาโอนคริปโตไปให้เป็นระยะ ทั้งหมดที่จริงพี่อ้อยจ่ายไปแค่ 2 ครั้ง แต่พวกเขากระจายเป็น 7 ครั้ง จนกระทั่งต่อมาก็มีการไปอ้างว่าเขาถูกระงับบัญชี ในกระเป๋าเงินบัญชี Gmail ของเขา โดยบอกพี่อ้อยว่า คนที่โอนเงินไปไม่ใช่ นุ แต่เป็นภรรยาของเขาชื่อ สาริณี
โดยอ้างกับพี่อ้อยว่าเขาเสียหาย 39 ล้านบาท ไปแจ้งความ วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 และไปเลือก สน. บางซื่อ จริงๆเขาต้องไปแจ้งที่สน.ดินแดง แต่ไปแจ้งที่สน.บางซื่อ เพราะในเวลาตอนนั้นคนที่ดูแล สน.บางซื่อ เป็นเครือข่ายตำรวจใหญ่ที่ทนายตั้มรู้จักใช่หรือไม่ ถึงมีการแจ้งความที่นั่น และการแจ้งความก็พิรุธมาก คือพูดถึงเงินที่โอนไปๆ ซึ่งยังไม่ได้เสียหาย ถ้าโอนจริงมันก็ไม่ได้เสียหาย เพราะโอนไปแล้ว แต่กลับไม่บอกมูลค่าความเสียหาย ว่ามี 39 ล้านบาท การแจ้งบันทึกประจำวันครั้งนั้น มีพิรุธหลายอย่างมาก เพราะมันไม่ได้มีการสืบสวนสอบสวน ไม่ได้มีหลักฐานอย่างอื่นมาประกอบเลย แต่เป็นเอกสารบันทึกเพื่อกลับไปให้พี่อ้อยได้ดู และหลงเชื่อ และไปทะเลาะต่อหน้าพี่อ้อย จนพี่อ้อย หลงผิดนึกว่าตัวเองทำให้คนเหล่านี้เสียหายจากการทำธุรกรรมให้พี่อ้อย ก็เลยจ่ายเป็นเช็คเงินสด กับทางธนาคาร วันที่ 25 พฤษภาคม 2566
ปรากฏว่า 25 พฤษภาคม นุ ก็ไปเปิดบัญชีที่ปากช่อง แต่ว่าไม่มีความรู้ด้านการเงิน ก็มาปรึกษากับ มี่ ซึ่งมีความรู้ด้านธนาคาร มีการปรึกษาหารือว่าเงินจะโอนเท่าไหร่ ปปง.จะตรวจสอบไหม โดยทนายตั้มโทรหามี่ ให้ช่วยดูแล นุ ด้วย มี่ก็เข้าใจว่าก็คนกำลังหางานให้ ก็จำเป็นต้องอาศัยซึ่งกันและกันอีกพอสมควร ก็ให้คำแนะนำไป โดยทนายตั้ม ก็บอกว่าขอให้เป็นเงินแบงค์ใหม่ๆ ทั้งหมดแสดงว่าทนายตั้ม รู้เรื่องด้วยใช่หรือเปล่าเงิน 39 ล้านบาท แต่การประสานครั้งนี้ มี่ ไม่ได้อยู่กรุงเทพ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวและปล่อยข่าวว่ามี่เป็นคนถอนเงินสด เพราะเงินมันเป็นแคชเชียร์เช็ค ชื่อสาริณี ดังนั้นมี่จะเบิกเงินไม่ได้
สาริณี ก็ไปเบิกเงินพร้อมกับการ์ดประมาณ 3-4 คน ใส่กระเป๋าเดินทางที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งหลักฐานมีครบหมดแล้ว ส่วนทนายตั้ม นอกจากแชตแล้ว มีอะไรเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ตนขออนุญาตไม่เปิดเผยให้กระทบต่อรูปคดี แต่ไม่ใช่อย่างที่พี่อัจฉริยะพูด ที่มีการปล่อยข่าวว่ามี่เป็นผู้ไปถอนเงิน และเป็นคนเอาไปให้ทนายตั้ม นั่นเป็นการอำพรางของคนที่ปล่อยข่าวให้คุณอัจฉริยะ แต่ตนได้แจ้งคุณอัจฉริยะไปแล้วว่าอันนี้เป็นกลลวงที่เกิดขึ้นเพราะตนดู GPS ในวันเกิดเหตุแล้ว
"ทนายตั้มจะทำตัวเป็นไม่รู้เรื่องเงิน 39 ล้านบาทไม่ได้ เพราะว่าทนายตั้ม มีการสนทนาพูดคุยในสิ่งที่เกิดขึ้น"
"ทั้งมี่และปีเตอร์ จึงเป็นผู้เสียหายที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ ว่าตัวเองรู้เห็นอะไร ดังนั้นเราจึงต้องคุ้มครองเขา ขอความกรุณาสื่อว่าอย่าเปิดเผยทั้งชื่อบริษัทให้เขาเสียหาย รวมถึงชื่อจริงให้เขาถูกคุกคามหรือถูกตามล่า เพราะว่าเขาเป็นปากสำคัญที่พูดข้อเท็จจริง มันมีขบวนการที่จะย้ายเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"
จึงอยากให้แจ้งทราบว่าขณะนี้ทางตำรวจทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ ในเรื่องของการดำเนินคดีความ ทั้งในส่วนของการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานก็ครบแล้ว ถึงได้สามารถขอศาลออกหมายจับได้สำเร็จ ตอนนี้เป็นห่วงอย่างเดียวว่ามีขบวนการวิ่งเต้นไหม ที่จะทำให้มีการได้รับการประกันตัว
โดยมีข่าวลือมาว่ามีการเจรจาต่อรองกันในขณะนี้ เพื่อให้ได้ประกันตัวทั้ง 2 คน ถ้าหากไม่ได้ ก็ขอให้ได้ภรรยาได้รับการประกันตัว เพื่อไปเดินหน้าเรื่องอื่นๆ ซึ่งตนไม่พูดแล้วกันว่าคืออะไร แต่จะจริงหรือไม่จะทำหรือไม่ตนไม่ยืนยัน.