เป็นขาลงต่อเนื่องจริงๆ สำหรับ ‘Meta’ บริษัทแม่ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ ‘Facebook’ ซึ่งล่าสุดได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 “แย่ลงต่อเนื่อง” ทั้งในส่วนรายได้และกำไร จนฉุดหุ้นร่วงกราวรูดถึง 19% สู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2016
โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ทั้งหมด 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนผลกำไรนั้นร่วงหนักถึง 52% จากปีที่แล้ว เหลือแค่ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
นับตั้งแต่ก่อตั้ง Facebook มาจนมารีแบรนด์เป็น Meta ในปี 2021 นี่นับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันแล้ว “ที่ทั้งรายได้และกำไรลดลง” โดยมีปัจจัยมาจากหลายทางที่เข้ามามะรุมมะตุ้ม Meta อย่างต่อเรื่อง
ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา รายได้จากการขายพื้นที่โฆษณาที่ลดลงหลัง Apple ปรับ IOS ให้ติตดามข้อมูลของลูกค้ายากขึ้น คู่แข่งอย่าง TikTok ที่แย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าจนทำให้เสียลูกค้าต่างชาติ และการขาดทุนจากธุรกิจ Metaverse หรือ จักรวาลนฤมิต ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำกำไรหรือแม้แต่คืนทุนให้กับทางบริษัท
ขาดทุน Metaverse 1.4 แสนล้าน!
ในรายงานไตรมาส 3 หน่วย Reality Labs ซึ่งเป็นแผนกที่ดูแลธุรกิจด้านเทคโนโลยีความจริงเสมือน (virtual reality) และ Metaverse ของบริษัท ทำรายได้ไปเพียง 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 49% จากปีที่แล้ว
และที่แย่กว่าก็คือ แผนกนี้ขาดทุนไปถึง 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาสที่ 3 Meta สูญเงินกับธุรกิจนี้แล้วถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.57 แสนล้านบาท)
ในขณะเดียวกัน รายได้จากโฆษณาซึ่งคิดสัดส่วนเป็น 98.2% ของรายได้ทั้งหมด ก็ลงไปอยู่ที่ 2.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 4% จากไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้ว
เรียกได้ว่านอกจากรายได้หลักจะลดแล้ว ยังมีธุรกิจใหม่ที่กำลังตั้งไข่มาทำยอดกำไรดิ่ง ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ Meta ต่อจนเสียมูลค่าการตลาดอีก
จ่อเลย์ออฟใหญ่ปีหน้า 2023
จากแถลงการณ์ของ Meta เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ทางบริษัทกำลังวางแผนที่จะ “ปรับโครงสร้าง” ขนานใหญ่ในปีหน้า ผ่านการลดจำนวนพนักงานลง และรับพนักงานในส่วนที่จำเป็นกับการเติบโตของบริษัทจริงๆ เท่านั้น
ทั้งนี้เป็นเพราะจำนวนพนักงานของ Meta เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 16,000 คนเมื่อปลายปี 2016 มาเป็น 87,314 คนในปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนบางคนมองว่าเป็นผลเสียต่อบริษัทเพราะทำให้ Meta มีไอเดียมากเกินไปจนทิศทางการทำธุรกิจสะเปะสะปะ เพราะไม่รู้จะโฟกัสที่อะไรก่อนดี
ในส่วนของค่าใช้จ่าย Meta กล่าวว่าในปี 2022 ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบริษัทน่าจะอยู่ที่ 8.5 ถึง 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในปีหน้าน่าจะเป็น 9.6 หมื่นล้าน ถึง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอเมริกาเข้าสู่ขาลง ส่อสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 Meta ก็ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีเดียวที่เห็นผลประกอบการลดลงในไตรมาสนี้ เพราะผองเพื่อนอย่าง ‘Microsoft’ และ ‘Google’ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจซบเซาจนรายได้หาย กำไรหดกันอย่างถ้วนหน้า
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา Microsoft ประกาศว่า บริษัททำกำไรไปทั้งหมด 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสที่ 3 ลดลงถึง 14% จากช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว เพราะรายได้จากการขายบริการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และบริการ Cloud Computing ลดลง ในขณะรายได้ทั้งหมดอยู่ที่ 5.01 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเพียง 11% ปีต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี
ส่วนทางด้าน Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ยักษ์ใหญ่ด้านสื่อและโฆษณาออนไลน์ ก็รายงานผลกำไรลดลงเช่นกันในไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้ไป 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมากกว่า 26% จากปี 2021 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.69 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้จากโฆษณาของ Alphabet เติบโตขึ้นเพียง 2.5% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 5.44 หมื่นล้านดอลลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าโตน้อยลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เคยโตได้ถึง 43%
มิหนำซ้ำ รายได้จากการโฆษณาของ ‘YouTube’ ยังลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยตกลง 2% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ถึงแม้จะมีนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า บริษัทเทคโนโลยีส่วนมากน่าจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีนักในไตรมาสนี้ เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ยอดใช้จ่ายด้านการโฆษณาก็มักจะลดลงอยู่แล้วเพราะบริษัทต่างๆ ต้องรัดเข็มขัด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้กันอย่างเต็มที่แต่ในสายตาของนักวิเคราะห์บางคน นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทุกคนกำลังกลัวกันอยู่
ซึ่งเมื่อมองประกอบกับการเลย์ออฟพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เช่น Peloton, Shopify, Twitter, Spotify, Netflix มาจนถึง Microsoft ที่เพิ่งประกาศว่าจะลดพนักงานไม่เกิน 1,000 คนเมื่อไม่นานมานี้ ก็อาจจะเรียกได้ว่าในขณะนี้วงการบริษัทเทคโนโลยีน่าจะกำลังเข้าสู่ขาลง ซึ่งก็สะท้อนอะไรได้หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอำนาจการซื้อของนักโฆษณาและผู้บริโภคที่ลดลงด้วย
นอกจากนี้ นอกจาก 3 บริษัทใหญ่นี้แล้ว ก็ยังมีบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อีกที่ยังไม่ได้ออกมาประกาศผลประกอบการ อย่างเช่น Apple และ Amazon ซึ่งก็ต้องมาลุ้นอีกว่าจะได้รับผลกระทบเหมือนกับบริษัทใหญ่อื่นๆ หรือไม่ในไตรมาสนี้
ที่มา: The Wall Street Journal, BBC, CNN