แม้ในช่วงสามเดือนก่อนหน้านี้ ‘Wall Street’ (วอลล์สตรีท) ได้ออกมาวิจารณ์การกระทำของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ที่ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อพัฒนา AI และได้ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มกับต้นทุน แต่สิ่งที่ซิลิคอนวัลเลย์ตอบสนองในไตรมาสนี้ คือ ‘การลงทุนเพิ่ม’
ในปีนี้ งบการลงทุนของบริษัทอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่ง Amazon.com, Microsoft, Meta, และ Alphabet คาดว่า จะมีมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6.74 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีที่ผ่านมา โดย ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ คิดเป็น 80% ของยอดรวมดังกล่าว ถือเป็นจำนวนเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยผู้บริหารจาก ‘Meta’ และ ‘Amazon.com’ ออกมาเตือนนักลงทุนในสัปดาห์นี้ว่า การลงทุนจะยังคงดำเนินต่อไปในปีหน้า หรืออาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
กระแสความนิยมดังกล่าว ตอกย้ำให้เห็นถึงต้นทุนที่สูง และทรัพยากรที่ใช้ไปอย่างมหาศาลจากการเติบโตของ AI ทั่วโลก นับตั้งแต่การมี ‘ChatGPT’ ซึ่งส่งผลให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต่างแข่งขันกันเพื่อรักษาชิประดับไฮเอนด์ที่หายาก และสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ตามความต้องการของเทคโนโลยี รวมถึงได้ทำข้อตกลงกับผู้ให้บริการพลังงาน เพื่อจ่ายไฟให้กับสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ และสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฉาวโฉ่ด้วย
ส่วหนึ่งเกิดขึ้นจากความพยายามในการโน้มน้าว Wall Street ว่า การลงทุนมหาศาลเหล่านี้ จะทำให้ธุรกิจในอนาคตของพวกเขามีกำไรมากกว่าธุรกิจที่ขายโฆษณาทางดิจิทัล สินค้า และซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน หลังจากที่รายจ่ายการลงทุนนของบิ๊กเทคฯ ทั้ง 4 ราย เติบโตขึ้นมากกว่า 62% จากปีก่อน เป็นประมาณ 60,000 ล้าสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.02 ล้านล้านบาทในไตรมาสนี้
ในการสนทนากับนักลงทุนเมื่อวันพฤหัสบดีทีผ่านมา Andy Jassy ซีอีโอ Amazon.com มองว่า AI เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่ไม่ธรรมดา และอาจเป็น ‘โอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต’ พิสูจน์ได้จากการคาดการณ์การใช้จ่ายที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.53 ล้านล้านบาทสำหรับปี 2024
ส่วนหนึ่งวันก่อนหน้านั้น Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ให้คำมั่นว่า จะเร่งลงทุนในโมเดลภาษา AI และโครงการในอนาคตอื่นๆ โดยการใช้จ่ายเงินทุนของ Meta อาจพุ่งสูงถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.35 ล้านล้านบาทในปีนี้
ในขณะเดียวกัน งบประมาณการลงทุนของ Alphabet ก็สูงกว่าที่ Wall Street คาดไว้ และ Anat Ashkenazi ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทก็คาดการณ์ว่า จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2025
ส่วน Microsoft ใช้จ่ายเงิน 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 502,300 ล้านบาทในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน และถือเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าที่บริษัทเคยใช้จ่ายไปกับทรัพย์สินและอุปกรณ์ภายในปีเดียวก่อนปี 2020
ด้าน Apple ยังได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะลงทุนในด้าน AI เช่นกัน หลังจากที่เปิดตัว Apple Intelligence ครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงกลางปีนี้ รวมถึงเปิดตัวบริการชุดใหม่ เช่น Siri ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดยังคงค่อนข้างอ่อนแอ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ AI ชุดใหม่ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี และเปิดตัวค่อนข้างช้ากว่ากำหนด
ผลประกอบการทางการเงินของแต่ละบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสัปดาห์ แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง หุ้นของ Amazon และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่บริษัททั้งสองทำรายได้สูงกว่าที่คาดไว้ โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของหน่วยคลาวด์คอมพิวติ้ง
แต่ด้าน Meta และ Microsoft มูลค่าหุ้นกลับร่วงลง หลังจากที่แผนการใช้จ่ายของ Microsoft ทำให้เกิดความกังวล และการคาดการณ์การเติบโตของรายได้จากคลาวด์ของ Microsoft กลับน่าผิดหวัง
โดยหุ้นของ Alphabet, Microsoft, และ Meta ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ขณะที่ Amazon ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.7% ก่อนเปิดตลาดหุ้นนิวยอร์ก ส่วน Apple ปรับตัวลดลงประมาณ 1.1% ในการซื้อขายช่วงเช้า
สำหรับ Microsoft ผลประกอบการรายไตรมาสที่ไม่สู้ดีของบริษัท ไม่ได้เกิดจากลูกค้าไม่จ่ายเงินสำหรับบริการคลาวด์และ AI แต่เป็นเพราะบริษัทไม่สามารถสร้างกำลังการผลิตได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ เนื่องจากความต้องการ ‘ปรากฏขึ้นค่อนข้างเร็ว’ และ ‘ไม่สามารถสร้างเสร็จได้ในชั่วข้ามคืน’
Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Microsoft บอกกับนักลงทุนว่า บริษัทจะพยายามจัดการปัญหาการจัดหาดาต้าเซ็นเตอร์ให้ ‘สมดุลมากขึ้น’ จากความกังวลที่นักลงทุนมีกับการใช้จ่ายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นในมหาศาล
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ กลับมีมุมมองในแง่บวกว่า ปัญหาการจัดหาดาต้าเซ็นเตอร์ของ Microsoft จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และจะจำกัดธุรกิจคลาวด์ของ Microsoft ในระดับปานกลาง แต่การลงทุนของบริษัท โดยเฉพาะการถือหุ้นจำนวนมากใน OpenAI ถือเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสำเร็จในระยะยาว
ความกังวลของ Wall Street กับการใช้จ่ายที่มากเกินไปจะไม่หมดไป ในสัปดาห์นี้ Meta รายงานว่า ‘Reality Labs’ แผนกที่ผลิตแว่นตาเสมือนจริง และอุปกรณ์อื่นๆ ขาดทุน 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 148,300 ล้านบาท ซึ่งยังห่างไกลจากความสำเร็จทางการค้า โดยบริษัทยังได้ทุ่มเงินมหาศาลในการผลิตโมเดล Llama เพื่อแข่งขันกับ Google และ OpenAI ด้วย
แม้ Zuckerberg โต้แย้งว่า การลงทุนด้าน AI กำลังปรับปรุงธุรกิจหลักของบริษัทในการขายโฆษณาบน Facebook และ Instagram แต่ผู้ลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสัญญาณใดๆ ของความอ่อนแอในธุรกิจโฆษณา ในขณะที่พวกเขายังคงรอผลตอบแทนจากการเดิมพัน AI ที่ยิ่งใหญ่กว่าของ Meta
อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Meta เพิ่มขึ้น 60% ในปีนี้ และนักวิเคราะห์บางคน รวมถึง MoffettNathanson กล่าวว่า การใช้จ่ายครั้งใหญ่ของ Zuckerberg จะคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งแน่นอนว่า ประวัติศาสตร์อยู่ข้างเขา และตอนนี้นักลงทุนก็ได้รับการฝึกฝนให้อดทนในเรื่องนี้
แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าเสื่อมราคาของ Microsoft, Alphabet. และ Amazon.com ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้ ทั้งสามบริษัทได้ขยายอายุการใช้งานของอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อวัตถุประสงค์ทางบัญชี ช่วยลดปริมาณค่าเสื่อมราคาที่ต้องรายงานในแต่ละปี
Amazon.com กล่าวว่า การขยายอายุการใช้งานของเซิร์ฟเวอร์ออกไปหนึ่งปี ทำให้ส่วนงานคลาวด์มีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น 2% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองในรอบสองปีที่ Amazon.com ดำเนินการเช่นนี้ แต่ถึงแม้มีการผลักดันให้ค่าเสื่อมราคาสูงขึ้นในอนาคต แต่แรงกดดันต่ออัตรากำไรจากการใช้จ่ายด้าน AI ที่พุ่งสูงขึ้น นั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
ในขณะเดียวกัน ทุกสายตายังคงจับจ้องไปที่ ’NVIDIA’ ซัพพลายเออร์หลักของชิปที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ AI เนื่องจากราคาหุ้นของ NVIDIA พุ่งสูงขึ้นเจ็ดเท่า นับตั้งแต่มีการเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 ทำให้ NVIDIA อยู่ในตำแหน่งชั้นนำในซัพพลายเชน AI
อย่างไรก็ตาม การเติบโตอาจชะลอตัวลง เนื่องจากการสร้าง AI ในปัจจุบันถึงจุดอิ่มตัว นักวิเคราะห์แนะนำว่า เมื่อคลื่นนี้สงบลง ผู้เล่นรายใหญ่รายต่อไป อาจเป็น ‘Oracle’ และ ‘Salesforce’ ซึ่งอาจก้าวเข้าสู่ AI ด้วยข้อเสนอของตนเอง แต่ในตอนนี้ NVIDIA ยังคงเป็นผู้นำที่ชัดเจนในการจัดหาชิปสำหรับระบบ AI
ย้อนไปในไตรมาสที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2025 NVIDIA รายงานผลประกอบการด้วยรายได้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.01 ล้านล้านบาท โดยรายได้ 46% หรือเกือบครึ่งหนึ่งมาจากลูกค้าเพียงสี่ราย แม้ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อ แต่พบว่า ‘ลูกค้า A’ คิดเป็น 14% ของรายได้ NVIDIA ในขณะที่ลูกค้าสองรายคิดเป็น 11% และรายที่สี่คิดเป็น 10% ของรายได้ดังกล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้ซื้อรายใหญ่ของ NVIDIA น่าจะรวมถึง Alphabet, Amazon, Meta, Microsoft และ Tesla ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในการเติบโตของ Generative AI แม้แต่ OpenAI ผู้ผลิต ChatGPT ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นได้ เช่นเดียวกับ Oracle และ Salesforce
ท่ามกลางความกังวลของ Wall Street สิ่งที่เห็นได้ในตอนนี้ คือ การลงทุนของบิ๊กเทคฯ ที่แสดงให้เห็นว่า ภาคส่วนนี้มุ่งมั่นที่จะเห็น AI ประสบความสำเร็จ ซึ่งสำหรับนักลงทุนและนักวิเคราะห์บางคน มองว่า ผลตอบแทนก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็นบ้างแล้ว
Gene Munster นักลงทุนจาก Deppwater Asset Management อธิบายว่า ความต้องการ AI มีความ ‘แข็งแกร่ง’ โดยบริษัทต่างๆ ขยายขนาดเพื่อสร้างรายได้จากการลงทุน โดยไม่กระทบต่อผลกำไรในปัจจุบัน และตราบใดที่บิ๊กเทคฯ ยังคงรักษาโครงสร้างพื้นฐานไว้ ธุรกิจ AI จะยังคงแข็งแกร่งต่อไป
ที่มา Bloomberg, Financial Times, MSN