ตอนนี้ทั่วโลกเริ่มเปิดให้มีการเดินทางได้แล้ว ถ้ามีโอกาส หลายๆ คน ก็อยากจะลองไปใช้ชีวิตและทำงานในต่างแดน หรือใช้ชีวิตแบบ Expat กันบ้างเพื่อหาประสบการณ์และความก้าวหน้าใหม่ๆ ซึ่งเมืองในฝันของหลายคนก็อาจจะเป็นมหานครใหญ่ๆ อย่าง ลอนดอน เบอร์ลิน ปารีส หรือ โตเกียว
ถึงแม้เมืองเหล่านี้จะมีชื่อเสียงและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในฝัน แต่หากต้องไปทำงานและใช้ชีวิตระยะยาว เมืองเหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่เมืองในฝันเสมอไป เพราะต้องเจอทั้งค่ากินค่าครองชีพที่แพงมาก การแข่งขันก็สูงมาก เหมือนกับที่หลายคนเคยกล่าวว่า “บางเมืองเหมาะแค่ไปเที่ยว แต่ไม่เหมาะที่จะอยู่”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในผลการจัดอันดับ InterNations Expat City Ranking list หรือ การจัดอันดับเมืองที่น่าไปอยู่อาศัยและทำงาน ‘มาก’ และ ‘น้อย’ ที่สุดประจำปี 2022 ของ InterNations ที่วัดระดับความน่าอยู่ของเมืองใน 5 มิติใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
โดยการสำรวจในปีนี้ InterNations รวบรวมข้อมูลมาจาก Expat ถึง 11,970 คน ที่ทำงานอยู่ใน 181 ประเทศและเขตพื้นที่ทั่วโลก ที่จะมาให้คะแนนเพื่อวัดความน่าอยู่และน่าทำงานของ 50 เมืองทั่วโลกในแต่ละด้าน พร้อมให้เหตุผลจำกัดความเล็กๆ ของแต่ละเมืองที่ “น่าไป” และ “ไม่น่าไป” มากที่สุด 10 อันดับแรก ดังนี้
กรุงเทพฯ เด่นที่ “ถูก” และ “เป็นมิตร”
จากผลการสำรวจ ทุกเมืองที่ติด 10 อันดับแรกมักจะได้คะแนนค่อนข้างสูงในหลายๆ ด้าน แต่จะมีด้านที่ทำได้ดีจนเป็นจุดเด่นแตกต่างกันไป
“กรุงเทพฯ” ประเทศไทย ที่ 6 ของโลก ได้ที่ 2 ในด้าน Personal Finance เพราะมีค่าครองชีพที่ต่ำ รวมไปถึงได้ที่ 4 ในด้าน Ease of Settling In เพราะผู้คนมีความเป็นมิตร และเปิดรับชาวต่างชาติ แต่มีข้อเสียสำคัญคือ สิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศที่ไม่ดี (ได้อันดับที่ 48) วัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ดี (ได้อันดับที่ 46) และความปลอดภัยในการใช้ชีวิตที่ต่ำ (ได้อันดับที่ 45)
ส่วน “บาเลนเซีย” (Valencia) เมืองที่ได้อันดับ 1 จาก 50 เมือง ได้ที่ 1 ในด้าน Quality of Life โดยมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีและราคาถูก ค่าครองชีพต่ำ มีกิจกรรมสันทนาการมากมายให้ทำ นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียหลักคือมีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานต่ำ
ในขณะที่ “ดูไบ” ที่ 2 ของโลก ได้ที่ 1 ด้าน Expat Essentials และ “เม็กซิโก ซิตี้” ที่ 3 ของโลก ได้อันดับ 1 ในด้าน Ease of Settling In
เมืองใหญ่อาจไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่
จากกลุ่มเมืองท็อป 10 ได้สะท้อนให้เห็นว่า Expat ส่วนมากไม่ได้มองแค่เรื่องเงินหรือผลตอบแทนเป็นหลักเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพชีวิตในหลายๆ ด้าน และความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตด้วย นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่เมืองศูนย์กลางความเจริญทั้งด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่าง ลอนดอน ปารีส โตเกียว ฮ่องกง มิลาน โรม กลับเป็นเมืองที่อยู่ในกลุ่มอันดับ “รั้งท้าย”
โดยจากผลการจัดอันดับ เมืองที่น่าอยู่น้อยที่สุดในโลกสำหรับ Expat 11 อันดับแรก ได้แก่
โดยจาก 11 อันดับนี้ จะเห็นได้ว่าถึงแม้เมืองเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นเมืองใหญ่ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงิน ทำให้คนที่ทำงานในเมืองเหล่านี้มีรายได้ และโอกาสก้าวหน้าในการงานสูง สิ่งเหล่านี้ที่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนทำงานกลับไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมืองนั้นๆ น่าย้ายไปอยู่ เพราะโอกาสเหล่านั้นมักจะแลกมากับค่าครองชีพที่สูงจนเงินเดือนที่ได้สูงกว่าเมืองอื่นๆ อยู่แล้วอาจไม่พอใช้ วัฒนธรรมการทำงานและคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ หรือชีวิตทางสังคมที่หายไปเพราะคนในพื้นที่ไม่เปิดรับคนต่างชาติ
ซึ่งนี่ก็บ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่า สำหรับชีวิตในปัจจุบัน มิติด้านการเงินอาจไม่ใช่มิติเดียวที่ต้องนึกถึง และไม่ใช่สิ่งที่ชี้วัดความสุขและคุณภาพในการใช้ชีวิต เพราะชีวิตที่ดีควรจะต้องมีสมดุลในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการทำงาน การเงิน และการพักผ่อนหย่อนใจ และเมืองที่ดีก็ควรจะมีวัฒนธรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเติมเต็มความต้องการในทุกๆ ด้านนั้น
ที่มา: InterNations