คนไทยแห่ซื้อรถ EV ปี 65 เพิ่ม 274% ปีทองของธุรกิจยานยนต์ไทย
กระแสรักษ์โลกเริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ทุกภาคส่วนพยายามช่วยกันผลักดัน กระแสเรื่องการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) ที่ทุกฝ่ายต้องเร่งช่วยกัน ประกอบกับมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ที่กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมในขณะนี้ ประกอบกับมีค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่เข้ามาตีตลาดในไทย ทั้ง MG Tesla BYD ORA TOYOTA NISSAN BMW เป็นต้น
คอนเทนต์แนะนำ
มาวันนี้ ภาพนั้นเริ่มชัดขึ้น เห็นได้จากตัวเลขยอดรถยนต์ไฟฟ้าปี 2565 ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลข คือ ตัวเลขยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมปี 2565 มีจำนวน 20,815 คัน เพิ่มขึ้น 274.64% จากปีก่อน แบ่งเป็น
- รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 9,643 คัน เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อน
- รถยนต์นั่ง จำนวน 9,584 คัน
- รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7คน จำนวน 54 คัน
- รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 5 คัน
- รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 30 คัน เพิ่มขึ้น 77% จากปีก่อน
- รถยนต์สามล้อรับจ้าง มีทั้งสิ้น 227 คัน เพิ่มขึ้น 91% จากปีก่อน
- รถยนต์รับจ้างสามล้อจำนวน 199 คัน
- รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 28 คัน
- รถจักรยานยนต์มีทั้งสิ้น 9,915 คัน เพิ่มขึ้น 91% จากปีก่อน
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 9,912 คัน
- รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 3 คัน
- รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 976 คัน เพิ่มขึ้น 1,218.92% จากปีก่อน
- รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 24 คัน เพิ่มขึ้น 2,300% จากปีก่อน
ขณะที่เดือนธันวาคม 2565 ตัวเลขยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนธันวาคม 2565
มียอดจดทะเบียนใหม่มีจำนวน 2,680 คัน เพิ่มขึ้น 458.33% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็น
- รถยนต์นั่ง มีทั้งสิ้น 1,242 คัน เพิ่มขึ้น 820% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- รถกระบะ รถแวนมีทั้งสิ้น 4 คัน ซึ่งเดือนธันวาคม 2564 ยังไม่มีการจดทะเบียน
- รถยนต์สามล้อรับจ้างมีทั้งสิ้น 14 เพิ่มขึ้น67% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลทั้งสิ้น 1,084 คัน เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- รถโดยสารมีทั้งสิ้น 335 คัน เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
- รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 1 คัน ซึ่งเท่ากับเดือนธันวาคม 2564
นับว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาแรงเลยทีเดียว
ขณะที่ยอดรถยนต์ที่ผลิตได้ปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,883,515 คัน เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน
แบ่งเป็น ยอดผลิต
ของรถยนต์นั่ง มีจำนวน 600,839 คัน มีสัดส่วน 31.90% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 0.17% รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน ขึ้นไป ผลิตได้ 48 คัน เพิ่มขึ้น 65.52% รถยนต์บรรทุกผลิตได้ทั้งสิ้น 1,282,628 คัน เพิ่มขึ้น 18.12% รถกระบะขนาด 1 ตัน ผลิตได้ทั้งสิ้น 1,242,658 คัน มีสัดส่วน 65.98% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 18.33% และรถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน - มากกว่า 10 ตัน ผลิตได้ 39,970 คัน เพิ่มขึ้น 12.18%
ทั้งนี้ หากแบ่งเป็นผลิตเพื่อการส่งออก ได้ 1,037,317 คัน คิดเป็น 55.07% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 8.45% และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ผลิตได้ 846,198 คัน คิดเป็น 44.93% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 16.05%
ส่วนเดือนธันวาคม 2565 ตัวเลขการผลิตรถยนต์ทั้งหมด มีทั้งสิ้น 158,606 คัน เพิ่มขึ้น 2.75% จากปีก่อน เพราะได้รับชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ของรถยนต์หลายรุ่นดีขึ้น ผลิตเพื่อการส่งออกได้ 85,766 คัน เพิ่มขึ้น 10.53% ในตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกาอเมริกากลางและอเมริกาใต้ และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ผลิตได้ 72,840 คัน เพิ่มขึ้น 5.13% เนื่องจากประสบปัญหาเรื่อการขาดชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ของรถยนต์บางรุ่นและปัญหาน้ำท่วมบางพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. คาดการณ์การผลิตรถยนต์ปี 2566 อยู่ที่ 1.95 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 3.53% แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.05 ล้านคัน และ ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 9 แสนคัน โดยการผลิตรถยนต์ปี 2565 มียอดการผลิตรวมอยู่ที่ 1.88 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
จากอานิสงค์ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคาดว่าจะมาไทย 27 ล้านคนในปีนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง มีการเลือกตั้งในประเทศ เศรษฐกิจที่ยังมีการขยายตัวราว 3% ประกอบกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ ส่งผลดีต่อการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย แต่ยังมีสิ่งที่ต้องจับตาปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน เซมิคอนดักเตอร์ในรถยนต์บางรุ่นที่ยังคงมีอยู่
