หลังจากที่ JD Central ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 นั้น แม้จะคาดเดาได้ไม่ยาก เพราะมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การปิดกิจการก็ส่งผลกระทบต่อพนักงาน รวมถึงแผนต่อไปของเซ็นทรัลในกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามอง
ย้อนกลับไปดูที่มาของJD Central นับเป็นความร่วมมือของเซ็นทรัล กรุ๊ป กับ เจดีดอทคอมจากจีนแผ่นดินใหญ่ ภายใต้ชื่อบริษัทที่จดทะเบียน “บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด” ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 17,500 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลากว่า 5 ปีโดยก่อตั้งเมื่อ ปี 2560 และ ประกาศปิดกิจการ : 3 มี.ค. 2566 ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานกว่า 500 คน
ทีมงาน Spotlight ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ คุณวิสัณห์ ศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการปิดกิจการเจดีเซ็นทรัล ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเพราะขาดทุนกว่า 5,500 ล้านบาท แต่คุณวิสันต์ระบุว่า
"การยุติการให้บริการของ JD Central เหตุผลหลัก คือ JD.com ที่บริษัทแม่ที่จีนมีการเปลี่ยนนโยบายการทำธุรกิจในต่างประเทศ จากเดิมให้น้ำหนักอีคอมเมิร์ซ เปลี่ยนไปเป็นโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน”
แต่ประเด็นที่ JD Central มีผลประกอบการขาดทุนสะสมมากกว่า 5,600 ล้านบาทนั้น เป็นเหตุผลรองลงมา แต่ก็ยอมรับว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ขาดทุน แต่ขณะที่เริ่มมีบางรายที่ทำกำไร อย่างไรก็ตาม การยุติการทำธุรกิจครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย ระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล กับ JD.com จากจีน ซึ่งไม่ได้มีใครไม่เห็นด้วยกับการยุติกิจการดังกล่าวแต่อย่างใด
จากการสำรวจข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
นายวิสัณห์ ศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวถึง เรื่องการดูแลพนักงาน และการจ่ายเงินชดเชยว่า “การจ่ายค่าชดเชยบริษัทดำเนินการและจะช่วยเหลือพนักงานอย่างเต็มที่จริงๆ ซึ่งมากกว่าที่กฎหมายกำหนด ยืนยันว่าบริษัทแม่ในจีนมีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะสามารถจ่ายชดเชยพนักงานได้”
โดยมีแนวทางในการดูแลพนักงานกว่า 500 คน มีดังนี้
ส่วนทางด้านการให้บริการกับลูกค้าในขณะนี้ ผู้บริหาร กล่าวย้ำว่า “จะดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งกระบวนการซื้อขาย ขนส่งสินค้าอะไรต่างๆ สต็อกสินค้า และบริการหลังการขาย ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2566 ขอให้ลูกค้าต้องกังวล หรือเป็นห่วงอะไร”
ทั้งนี้ JD Central ได้ประกาศเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ ดังนี้
สำหรับภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ขณะนี้จะเหลือผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย เห็นได้จาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินมูลค่าตลาด B2C E-Commerce ปี 2565-2566 จะเติบโตชะลอลง หลังจากที่เร่งตัวสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงโควิด-19
โดยในปี 2566 คาดว่า ตลาดอาจขยายตัวราว 4-6% คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 606,000 – 618,000 ล้านบาท เป็นการเติบโตในอัตราที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวเฉลี่ย 26% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการ E-Commerce รายใหม่ น่าจะเริ่มอิ่มตัวหลังจากที่เข้ามาเป็นจำนวนมากในช่วงโควิด-19 รวมถึงค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นยังคงกดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคให้มีการใช้จ่ายอย่างจำกัด
ขณะที่คณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้า ภายในปี 2570 ให้ไทยมีมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศให้มีมูลค่า 7.1 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าสัดส่วนมูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการที่ค้าขายผ่านตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อยู่ที่ 20% เพื่อให้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยเติบโตทั้งภายในและระหว่างประเทศ ตามที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินการจัดทำแผนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของชาติ ระยะที่ 2 (ปี 2566-2570) ต่อเนื่องจากระยะที่ 1 (ปี 2564-2565)
ทีม Spotlight คาดการณ์แผน Central เกี่ยวกับแนวทางการทำธุรกิจ Online หรือธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอนาคต ก็มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะเดินหน้าแผนธุรกิจที่มีอยู่แล้ว ดังนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เราคงต้องจับตาดูแนวทางทำธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลต่อไป…จะรุกตลาดกลุ่มอีคอมเมิร์ซ เจาะตลาดกลุ่มฐานลูกค้าที่มีอยู่อย่างไร หรือมีแนวทางที่จะร่วมทุน ร่วมกิจการบริษัทจากต่างชาติอีกหรือไม่ หลังไม่มี JD Central ในไทยแล้ว !!!