สำนักงานข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า รัฐบาลอินโดนิเซีย ประกาศมาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่มีผลใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า เหลือแค่ 1% จากเดิม 11% และรถบัสไฟฟ้าบางรุ่น เริ่มตั้งแต่เดือน เมษายน- ธันวาคม 2566 ซึ่งนับเป็นการสร้างกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ให้เข้ามาลงทุนภายในประเทศอินโดนีเซีย
โดยในปี 2564 -2568 รัฐบาลอินโดนิเซียได้ตั้งเป้าหมายให้มีการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 4 แสนคัน และ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 1.7 ล้านคัน พร้อมกับตั้งเป้า ลดก๊าซเรือนกระจก ถึง 41 % ภายในปีพ.ศ.2573 และผลักดันเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2603 อีกด้วย
ทางการอินโดนีเซียหวังจะเป็นศูนย์กลางในการผลิตและกอบรถEV เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว อินโดนีเซีย ยังได้จัดสรรเงิน 7 ล้านล้านรูเปีย (ราว 466.70 ล้านดอลลาร์) จากกองทุนของรัฐ เพื่ออุดหนุนการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงปี 2567 อีกด้วย
มีรายงานว่าขณะนี้ 2 บริษัทจากแดนเกาหลีใต้ อย่าง แอลจี และฮุนได ที่ได้เริ่มสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ในอินโดนิเซียแล้ว ซึ่งทางรัฐบาลก็พยายามสร้างมาตรการดึงดูดบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าอื่นๆให้มาลงทุนในประเทศอีก เช่น เทสล่า จากสหรัฐอเมริกาหรือบีวายดี ออโต้ ยักษ์ใหญ่จากจีน ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังเสริมทัพความแข็งแกร่งของอุตสหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของอินโดนิเซียให้สามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตและประกอบรถ EV เพื่อส่งออกได้จริง
นอกจากการส่งเสริมการผลิตและประกอบรถEV แล้วอินโดนีเซียยังมีการส่งเสริมการแปรรูปแร่นิกเกิลเพื่อทำแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากอินโดนิเซียเป็น 1 ใน 4 แหล่งผลิตแร่นิกเกิลรายใหญ่ของโลก ทำให้เทสล่า ได้ลงนามสัญญามูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ในการซื้อแร่นิกเกิลแปรรูป นอกเมืองโมโรวาลี บนเกาะสุลาเวสี ในระยะเวลา 5 ปี