ในยุคที่ความสะดวกสบายเป็นเรื่องสำคัญ ร้านสะดวกซื้อกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายคน ที่พร้อมให้บริการสินค้าและบริการที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดค้าปลีก สองยักษ์ใหญ่ 7-Eleven และ CJ Express ต่างงัดกลยุทธ์เด็ด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด และครองใจผู้บริโภคยุคใหม่ 7-Eleven ผู้นำตลาด ยังคงแข็งแกร่งด้วยเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุม และประสบการณ์ยาวนาน ขณะที่ CJ Express ผู้ท้าชิง มาแรงด้วยกลยุทธ์ "อาหารสด อาหารพร้อมทาน" และ "Bao Cafe" ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
บทความนี้จะพาคุณไปเปิดสมรภูมิร้านสะดวกซื้อ วิเคราะห์กลยุทธ์ จุดแข็ง และความท้าทายของ 7-Eleven และ CJ Express เพื่อไขคำตอบว่า ใครจะเป็นผู้ครองใจผู้บริโภคในยุคนี้?
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยมีการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการขับเคี่ยวกันระหว่างสองผู้เล่นหลัก ได้แก่ 7-Eleven ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ CJ Express ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ และเปรียบเทียบกลยุทธ์ จุดแข็ง และความท้าทายของทั้งสองแบรนด์ เพื่อสะท้อนภาพรวมของการแข่งขันในตลาดค้าปลีกสมัยใหม่
ปัจจัย | 7-Eleven | CJ Express |
ระยะเวลา | 35 ปี | 19 ปี |
จำนวนสาขา | 15,053 สาขา | 1,100 สาขา |
เวลาทำการ | 24 ชั่วโมง | 06.00 - 23.00 น. |
กลยุทธ์หลัก | แฟรนไชส์, All cafe, All member | สินค้าหลากหลาย, Bao cafe, สบายการ์ด |
จุดแข็ง | เครือข่าย, ความสะดวก, เข้าถึงง่าย | อาหารสด, ทันสมัย, ประสบการณ์ |
รายได้ (2566) | 429,495 ล้านบาท | 44,000 ล้านบาท |
กำไรสุทธิ (2566) | 15,403 ล้านบาท | 2,600 ล้านบาท |
แม้ 7-Eleven ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาด ด้วยจำนวนสาขาที่มากกว่า 15,053 แห่งทั่วประเทศ สะท้อนถึงเครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุม ประกอบกับประสบการณ์การดำเนินธุรกิจอันยาวนานกว่า 35 ปี ส่งผลให้ 7-Eleven มีรายได้สูงถึง 429,495 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่า CJ Express เกือบ 10 เท่า บ่งชี้ถึงส่วนแบ่งการตลาดที่เหนือกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักที่ส่งเสริมความสำเร็จของ 7-Eleven ประกอบด้วย (1) จำนวนสาขาที่ครอบคลุม (2) การให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และ (3) ความหลากหลายของสินค้าและบริการ
ในทางกลับกัน CJ Express แม้จะเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดเมื่อเทียบกับ 7-Eleven แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่น่าจับตามอง โดยปัจจุบันมีสาขากว่า 1,100 แห่ง กลยุทธ์หลักของ CJ Express มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่าง ด้วยการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะอาหารสด อาหารพร้อมทาน และ Bao Cafe ซึ่งสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความสดใหม่ของอาหาร
อย่างไรก็ดี การแข่งขันในตลาดร้านสะดวกซื้อยังคงมีความรุนแรง ทั้ง 7-Eleven และ CJ Express จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ การขยายเครือข่ายสาขา และการพัฒนาสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้บริโภค
สำหรับแนวโน้มในอนาคต คาดการณ์ว่าตลาดร้านสะดวกซื้อจะยังคงมีการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ CJ Express ในการขยายฐานลูกค้า ขณะที่ 7-Eleven อาจจำเป็นต้องรักษาฐานลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่
การแข่งขันระหว่าง 7-Eleven และ CJ Express ในสนามรบร้านสะดวกซื้อนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของตลาดค้าปลีกยุคใหม่ ที่ผู้เล่นต่างงัดกลยุทธ์หลากหลายเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่ง 7-Eleven ด้วยความได้เปรียบในฐานะผู้มาก่อน ครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ อาศัยเครือข่ายสาขาที่หนาแน่น ความสะดวกสบายจากการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และระบบสมาชิกที่แข็งแกร่ง รักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ขณะที่ CJ Express แม้จะเป็นน้องใหม่ แต่ก็มิได้ย่อท้อ เลือกใช้กลยุทธ์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เน้นอาหารสด อาหารพร้อมทาน และร้านกาแฟ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสิ้นสุด ทั้งสองแบรนด์ต้องปรับตัว พัฒนา และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ การพัฒนาสินค้าและบริการให้มีความหลากหลาย หรือการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่แตกต่าง
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขันนี้ คือผู้บริโภคอย่างเราๆ ที่จะมีตัวเลือกในการจับจ่ายใช้สอยที่หลากหลาย สะดวกสบาย และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ส่วนใครจะเป็นผู้ครองใจผู้บริโภคยุคใหม่ คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด