Seven & i Holdings ยักษ์ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกของญี่ปุ่น เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven กำลังเผชิญกับทางแพร่งสำคัญ เมื่อตระกูลอิโตะ ผู้ก่อตั้ง ประกาศแผนการทุ่มทุนมหาศาล เพื่อซื้อกิจการคืนสู่การบริหารของครอบครัว การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากนักลงทุนและข้อเสนอขอซื้อกิจการจากบริษัทต่างชาติ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของตระกูลอิโตะ ในการรักษา "อาณาจักร 7-Eleven" ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของครอบครัว
NHK สื่อแห่งชาติของญี่ปุ่น รายงานว่า ตระกูลอิโตะ ผู้ก่อตั้ง Seven & i Holdings (3382.T) ซึ่งเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีแผนการระดมทุนกว่า 8 ล้านล้านเยน (หรือประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) เพื่อดำเนินการซื้อกิจการทั้งหมดคืน และนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ภายในสิ้นปีงบประมาณนี้
รายงานระบุว่า ตระกูลอิโตะได้จัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ เพื่อดำเนินการเจรจาขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่น และสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับแผนการซื้อกิจการดังกล่าว
การดำเนินการในครั้งนี้ ถือเป็นความพยายามของตระกูลอิโตะในการนำ Seven & i กลับคืนสู่การบริหารงานของครอบครัว ภายหลังจากที่บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนักลงทุน ในการปรับปรุงผลประกอบการ และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงข้อเสนอขอซื้อกิจการจาก Alimentation Couche-Tard ด้วยมูลค่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
การนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้ Seven & i สามารถดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของตระกูลอิโตะได้อย่างอิสระ โดยปราศจากแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นภายนอก และลดโอกาสในการถูกควบรวมกิจการจากบริษัทคู่แข่ง
Seven & i Holdings Co., Ltd. ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของญี่ปุ่น กำลังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย โดยบริษัทต้องพิสูจน์ศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้น ท่ามกลางกระแสข่าวการเสนอซื้อกิจการจากสองขั้วอำนาจ
ประการแรก Seven & i Holdings ต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก Alimentation Couche-Tard Inc. บริษัทค้าปลีกสัญชาติแคนาดา ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการด้วยมูลค่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) อย่างไรก็ตาม Seven & i Holdings ยังคงยืนกรานที่จะดำเนินกลยุทธ์การสร้างมูลค่าด้วยตนเอง โดยปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน Seven & i Holdings ได้รับข้อเสนอซื้อกิจการคืนจากตระกูลอิโตะ ผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ โดยการดำเนินการดังกล่าว อาจส่งผลให้ Seven & i Holdings สามารถบริหารงานภายใต้โครงสร้างการจัดการเดิม โดยปราศจากแรงกดดันจากนักลงทุนภายนอก และลดความเสี่ยงจากการถูกควบรวมกิจการ
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ Seven & i Holdings ยังคงทรงตัว ณ วันอังคารที่ผ่านมา แม้จะมีกระแสข่าวลือเรื่องการซื้อขายกิจการ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 50% นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท อนึ่ง Seven & i Holdings ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นทางการ ต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น
Seven & i Holdings กำลังดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวการณ์ที่ท้าทาย ท่ามกลางการแข่งขันอันเข้มข้นในอุตสาหกรรมค้าปลีก การตัดสินใจของตระกูลอิโตะ ผู้ก่อตั้ง ที่จะนำพาบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อทิศทางและอนาคตขององค์กรในระยะยาว
การคืนสู่การบริหารงานภายใต้ครอบครัว อาจช่วยให้ Seven & i Holdings มีอิสระในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ โดยปราศจากแรงกดดันจากนักลงทุนภายนอก อันจะนำไปสู่การมุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก เช่น 7-Eleven ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของบริษัท
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสู่การดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทเอกชน อาจส่งผลให้ Seven & i Holdings สูญเสียโอกาสในการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ และอาจเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายธุรกิจในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น Seven & i Holdings ยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง จากคู่แข่งขันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพลวัตของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญที่ Seven & i Holdings ต้องเตรียมความพร้อม และปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด ความสำเร็จของ Seven & i Holdings จะขึ้นอยู่กับ วิสัยทัศน์ และศักยภาพของผู้นำ ในการกำหนดนโยบาย และนำพาองค์กร ให้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรค และบรรลุเป้าหมาย ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้สมรภูมิแห่งการค้าปลีกยุคใหม่
Seven & i Holdings นับเป็นองค์กรธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญ และทรงอิทธิพลในเศรษฐกิจญี่ปุ่น การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในครั้งนี้ ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของ "บทใหม่" ที่น่าจับตามอง และจะส่งผลกระทบต่อ อุตสาหกรรมค้าปลีก ตลอดจนเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น อย่างมิอาจปฏิเสธ
ที่มา reuters