รู้ไหมว่า แกร็บ ประเทศไทย (Grab) เจ้าของแพลตฟอร์มเรียกรถ ส่งอาหาร ที่เราใช้กัน สร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจถึงเกือบ 200,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1% ของ GDP ไทย (ปี 2566) เลยทีเดียว
Grab แพลตฟอร์มจากสิงคโปร์ มีกลยุทธ์อะไรถึงสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยได้ขนาดนี้ ?
แล้วในปีนี้ Grab มีแผนจะทำอะไรเพิ่มอีก ? ลองมาดูกัน
เริ่มกันที่ในปีที่แล้ว (2024)
Grab ได้เน้นกลยุทธ์ไปที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย มีสัดส่วนคิดเป็น 15% ของ GDP
ผ่านการใช้ฐานข้อมูลผู้ใช้งานมาวิเคราะห์ ความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยว กินอาหารที่ไหน
จนได้อินไซต์ออกมาว่านักท่องเที่ยวชอบไปอิเวนต์ที่เป็นงาน Flagship ของเมืองไทย อย่างเช่น เทศกาลดนตรี Wonderfruit, EDC ไปจนถึงงานแข่งรถอย่าง MotoGP เพื่อที่จะได้ขยายบริการไปรองรับความต้องการได้
นอกจากนั้น Grab ยังได้จับมือกับภาครัฐ และ AOT เปิดจุดรับลูกค้าในสนามบินเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ในด้านการบริโภค Grab ได้ออกบริการ Group Order สั่งอาหารแบบกลุ่มออกมาในปีที่แล้ว
หลังพบว่ามีผู้ใช้งานตามออฟฟิศ ที่มักจะสั่งอาหารรอบละ 500-600 บาท เทียบกับค่าเฉลี่ยปกติที่ 200 บาท
ซึ่งบริการตรงนี้มีระบบแยกกันจ่ายเงินตามบิลได้ ไม่ต้องตามเก็บเงินเอง แก้ Pain point ลูกค้า
ในขาการบริการ Grab ได้ออกโปรแกรม Saver สำหรับเรียกรถ ส่งอาหาร เพื่อเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เน้นความคุ้มค่า
โดยในปีที่แล้ว ยอดการใช้งานของโปรแกรมนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก
- GrabCar Saver เติบโต 5 เท่าในเขตเมืองหลัก
- GrabBike Saver เติบโต 4 เท่า
- ส่งอาหารแบบ Saver เติบโต 3 เท่า
ส่วนบริการสำหรับธุรกิจ B2B ทาง Grab ประเทศไทย ได้เพิ่มบริการด้าน Marketing Solution ให้ลูกค้า โดยมีตัวอย่างที่เราเห็นกันก็คือ โฆษณาห้อยท้ายรถ เวลาเราเรียกรถ
นอกจากนั้น Grab ยังออกบริการ Grab for Business สำหรับองค์กร ทำให้การเบิกค่าเดินทางไปปฏิบัติงานไม่ใช่เรื่องยาก ทำผ่าน Grab ได้เลย
โดยลูกค้าหลักของบริการนี้จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจธนาคาร เทคโนโลยี และ บริการให้คำปรึกษา เป็นหลัก
ทั้งหมดนี้ก็คือกลยุทธ์ในการสร้างมูลค่าของ Grab เมื่อปีที่แล้ว ต่อไปมาดูกันว่า Grab จะมีกลยุทธ์อะไรต่อไปในปี 2025 นี้
กลยุทธ์แรก ก็คือ เรื่องของความยั่งยืน
โดยมีไฮไลต์สำคัญก็คือ การพาร์ตเนอร์กับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน และผลักดันให้คนขับหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยจะมีบริการผ่อนไปขับไปให้กับคนขับเพิ่มขึ้นมา
ซึ่งถ้า Grab มีคนขับที่ใช้รถยนต์ EV มากขึ้น ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของคนขับจะถูกลงถึง 70% เลยทีเดียว ซึ่งนั่นอาจตามมาด้วยค่าบริการที่ถูกลง
กลยุทธ์ถัดมา คือ ขยายบริการไปให้ Gen Alpha และ Boomer
ที่ผ่านมา Grab ประสบความสำเร็จกับการขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ผ่านการใช้พรีแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง คุณ เบลล่า ราณี และ 2 หนุ่มวง Gemini, สกาย-นานิ
รวมถึงผลัดดันการใช้ฟีเจอร์บัญชีครอบครัว (Family Account) เผื่อขยายกลุ่มลูกค้าไป Gen Boomers ที่ต้องการให้คนในครอบครัวเรียกรถให้ ไปจนถึง Gen Alpha ที่พ่อ แม่ เป็นห่วงด้านความปลอดภัย
กลยุทธ์ถัดมา คือ ราคาที่เข้าถึงได้
ทาง Grab จะผลักดันโปรแกรม Saver ต่อเนื่อง รวมถึงแคมเปญอื่น ๆ อย่างเช่น Hot Deals ดีลลดแรงจากร้านค้าทั่วประเทศ ไปจนถึง GrabFood Mega Sales ที่แจกส่วนลดสั่งอาหารสูงสุดถึง 80%
กลยุทธ์ต่อมา คือ รักษาลูกค้า และ มัดใจคนขับ
ในด้านลูกค้า Grab จะใช้ GrabUnlimited ที่เป็นแพ็คเกจสมาชิกรายเดือนที่มีส่วนลด และ สิทธิประโยชน์ เพิ่มเติมมัดใจลูกค้า
รวมถึงใช้บริการใหม่อย่าง Grab VIP ที่จะให้สิทธิพิเศษสำหรับคนที่มียอดใช้จ่ายต่อไตรมาสครบ 30,000 บาท โดยจะให้สิทธิ์ส่งอาหารไว เรียกรถไว และ บริการช่วยเหลือลูกค้าแบบเร่งด่วน
ด้านคนขับ Grab ได้ให้สิทธิประโยชน์ สำหรับคนที่ทำยอดถึงเป้า ได้มีสิทธิ์ลุ้นรับรถฟรี รวมถึงให้บริการสินเชื่อสำหรับคนขับ
ส่วนร้านค้า Grab ได้ให้บริการสินเชื่อ รวมถึงประกันสำหรับร้านค้า กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจนทำให้ขายของไม่ได้ อย่างเช่น น้ำท่วม
กลยุทธ์สุดท้าย คือ เรื่องเทคโนโลยี ฟีเจอร์ใหม่ ๆ
ในปีนี้ Grab ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่าง Advance Booking for Airport Pickups เป็นบริการจองรถล่วงหน้าง่าย ๆ แค่ระบุไฟลท์และเวลาเดินทาง ก็รอขึ้นรถได้เลย
นอกจากนั้นยังมีบริการอื่น อย่างเช่น GrabExecutive บริการเรียกรถแบบพรีเมียม, จองโต๊ะร้านอาหาร, รวมถึงการจ่ายเงินแบบใช้ QR อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงเห็นว่า สิ่งที่ Grab พยายามทำ คือการคิดฟีเจอร์ รวมถึง สิทธิประโยชน์ ส่วนลด ออกมาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด อยู่เสมอ
ซึ่งผลที่ออกมาตอนนี้ก็คือ Grab มีจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนมากถึง 44 ล้านคน จาก 8 ประเทศเลยทีเดียว
ซึ่งถ้าถามต่อไปว่า 44 ล้านคนมากขนาดไหน ? ก็มากเกือบ 2 ใน 3 ของจำนวนคนไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว เพราะอย่างนั้นถ้าเราจะเรียก Grab ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดย่อม ๆ ก็คงจะไม่ผิดอะไร..
ที่มา: Grab