ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นของไทยยังคงเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถทำกำไรรวมได้กว่า 2,473 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพของภาคเกษตรกรรมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้นของไทยยังคงเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ธุรกิจกลุ่มนี้สามารถทำกำไรรวมได้กว่า 2,473 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพของภาคเกษตรกรรมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ธุรกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต ทั้งในด้านตลาดในประเทศและการส่งออก ด้วยภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ และความชำนาญของเกษตรกรไทยที่มีมากถึง 8.6 ล้านราย โดยเฉพาะกลุ่มที่เพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับกว่า 202,801 ราย บนพื้นที่กว่า 700,000 ไร่
“โอกาสสำคัญของเกษตรกรไทยในวันนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายต้นไม้ แต่ยังรวมถึงการขายคาร์บอนเครดิต และการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อ ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง”
— นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม กล่าว
ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่ามีการจดทะเบียนนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น รวม 2,993 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย โดยมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 17,670 ล้านบาท
ธุรกิจกลุ่มขายเป็นผู้สร้างรายได้หลัก โดยในปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมถึง 87,376 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผลิตมีรายได้เพียง 4,125 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิ -54.69 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลกำไรของกลุ่มขายมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา:
ไทยยังคงครองตำแหน่งผู้นำส่งออกกล้วยไม้ของโลก โดยในปี 2566 กล้วยไม้ไทยสร้างรายได้จากการส่งออกถึง 2,679 ล้านบาท และปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 2,755 ล้านบาท รวมมูลค่าสูงถึง 5,434 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
ภาพรวมการส่งออกไม้ดอก ไม้ประดับ และพันธุ์ไม้ในปี 2566 คิดเป็นมูลค่า 4,548 ล้านบาท และในปี 2567 ขยายตัวเป็น 4,777 ล้านบาท รวมสองปีคิดเป็นมูลค่ารวม 9,325 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักคือ สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น
การลงทุนของต่างชาติในธุรกิจกลุ่มนี้มีมูลค่ารวม 4,461 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มผลิต 1,319 ล้านบาท และกลุ่มขาย 3,142 ล้านบาท โดย 3 ชาติที่ลงทุนสูงสุด ได้แก่
ภาครัฐเชื่อมั่นว่าหากเกษตรกรสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับระบบการผลิต เช่น การทำ Smart Farming, การใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศ, ระบบตรวจวัดคุณภาพดิน, หรือเทคนิคลดต้นทุนแรงงาน จะสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าและยกระดับเกษตรกรให้กลายเป็น “Farmer Business” อย่างเต็มตัว
ด้วยศักยภาพทางภูมิศาสตร์และฐานเกษตรกรที่แข็งแกร่ง หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากรัฐ ธุรกิจไม้ดอกไม้ประดับไทยมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าไม้ดอกของภูมิภาคเอเชียในอนาคตอันใกล้
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า