OPPO ประเทศไทย ประกาศลุยตลาด ‘AI Phone’ ในไทยแบบเต็มตัว หลังกระแสของ AI เติบโตต่อเนื่อง พร้อมก้าวเข้าสู่การมอบประสบการณ์อัจฉริยะผ่าน OPPO AI Phone ด้วยการเปิดตัว ‘OPPO Reno12 Series 5G’ หรือ AI Phone เต็มรูปแบบเครื่องแรกที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่อัปเกรดฟีเจอร์ถ่ายภาพภายใต้แนวคิด ‘The AI Portrait Expert’ ด้วยเทคโนโลยี AI อย่าง ฟีเจอร์ยางลบ AI 2.0, AI Best Face, AI Clear Face, AI Studio และอื่นๆ อีกมากมาย
โดยการเปิดตัวในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดระหว่างการเข้าสู่คนรุ่นใหม่ที่เน้นการถ่ายภาพที่สวยงามแบบไร้ที่ติ และการเติบโตของ Generative AI มาสู่สมาร์ทโฟน ที่มาพร้อมดีไซน์ไอคอนิคสุดเทรนดี้ ในขณะเดียวกัน ยังจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อสมาร์ทโฟน AI ในราคาหมื่นต้น พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ OPPO Reno12 5G, OPPO Reno12 Pro 5G และ OPPO Reno12 F 5G
นอกจากนี้ OPPO ยังตั้งเป้าหมายให้ผู้ใช้งาน 50 ล้านคนทั่วโลกเข้าถึง ‘OPPO AI’ ในสิ้นปีนี้
OPPO Reno12 Series 5G พัฒนาไปสู่แนวคิด ‘The AI Portrait Expert’ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสิทธิภาพสูงที่สุด ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ให้ชีวิตสมาร์ทและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟีเจอร์ AI ดังนี้:
- ยางลบ AI 2.0: รีทัชภาพเนียนกริบ พร้อมกำจัดโฟโต้บอมบ์ เสาไฟ ถังขยะ วัตถุอื่นๆ รวมไปถึงลบคนที่ไม่ต้องการในภาพแบบอัตโนมัติเพียงครั้งเดียว พร้อมเติมพื้นหลังเนียนไม่มีบ้ง ด้วยระบบ AI ของ OPPO ที่ถูกเทรนให้สิ่งต่างๆ มากกว่า 120 หมวดเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- AI Best Face: ซ่อมรูปพัง แก้ไขใบหน้าที่พลาด ไม่ว่าใครจะเผลอหลับตาตอนถ่ายภาพก็จะถูกแก้ไขให้ภาพกลับมาได้ง่ายๆ ถ่ายเสร็จปรับผิวให้เนียนสวยเป็นธรรมชาติด้วยฟีเจอร์
- AI Clear Face: ประมวลผลและปรับปรุงรายละเอียดโครงหน้า ผม และคิ้วได้สูงถึง 10 คน
- AI Studio: เปลี่ยนรูปธรรมดาให้กลายเป็นภาพในจินตนาการแบบที่อยากเป็น อย่างภาพในโลกไซเบอร์ ภาพวาด ฯลฯ ที่เอาไปใช้เป็นภาพอวตารดิจิทัลได้
- AI LinkBoost: เพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณเครือข่ายที่ออปโป้พัฒนาขึ้นเอง ขจัดปัญหาสัญญาณไม่เสถียรเวลาอยู่ในลานจอดรถ ลิฟต์ รถไฟใต้ดิน หรือในฮอลล์คอนเสิร์ต
- BeaconLink: อัปเกรดการเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ดีขึ้น 300% และโทรด้วยเสียงระหว่างอุปกรณ์ผ่าน Bluetooth ในระยะทางสูงสุด 200 เมตร แม้อยู่ในที่อับสัญญาณ
- Holo Voice: รองรับความคมชัดของเสียง สามารถเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ครบทุกทิศทาง
สำหรับ OPPO Reno12 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ดังนี้:
- จอโค้ง 3D
- รีเฟรชเรท 120Hz
- น้ำหนัก 177 กรัม
- บาง 7.57 มม.
- ความสว่าง 1,200 nits
- รองรับการถ่ายภาพและวิดีโอความชัด 4K
- 1.07 พันล้านเม็ดสี
- สีเงิน Astro Silver, สีชมพู Sunset Pink, และสีน้ำตาล Matte Brown
ส่วน OPPO Reno12 Pro 5G มีฟีเจอร์ดังนี้:
- จอโค้ง 3D
- รีเฟรชเรท 120Hz
- ดิมแสง 2160Hz
- น้ำหนัก 181 กรัม
- บาง 7.45 มม.
- กล้องหลัง 50 MP
- กล้องหน้า 50 MP
- สีเงิน Nebula Silver, และสีน้ำตาล Space Brown
- Splash Touch สัมผัสหน้าจอได้ไม่มีสะดุดแม้แต่จอเปียก
- รองรับการถ่ายภาพและวิดีโอความชัด 4K
- กรอบโลหะผสมทนทานสูง
- ฟองน้ำไบโอนิคกันกระแทก
- มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP65
- แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh
- ระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC ชาร์จจาก 1% ถึง 100% ได้ภายใน 46 นาที
- ความจุ 2 ขนาด: RAM 12GB+ROM 256GB และ RAM 12GB+ROM 512GB
โดย OPPO Reno12 Series 5G มีชิป MediaTek Dimensity 7300 4nm ที่กินพลังงานจากการประมวล CPU ลดลง 30% และ GPU 46% ส่วน Wi-Fi ลดลง 20%
ส่วนราคาของ OPPO Reno12 Series 5G ทั้งหมด 3 รุ่น มีดังนี้:
- OPPO Reno12 5G ราคา 14,999 บาท (12+256 GB) และ 16,999 บาท (12+512 GB)
- OPPO Reno12 Pro 5G ราคา 19,999 บาท (12+512 GB)
- OPPO Reno12 F 5G ราคา 11,999 บาท
คุณชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ OPPO สามารถตีตลาดในประเทศไทยได้ คือ กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมซื้อสมาร์ทโฟนในราคาระดับกลาง ที่ตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพที่สวย โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลหรือ ‘พอร์ตเทรต’ บวกกับกระแสของ AI ที่กำลังมาแรง ที่ผู้บริโภคมองเทคโนโลยีด้าน AI บนสมาร์ทโฟนเพื่อช่วยปรับแต่งรูปภาพให้สวยยิ่งขึ้น รวดเร็ว และใช้งานฟรี เพื่อตอบรับพฤติกรรมดังกล่าว
โดย OPPO ได้จัดตั้ง ‘OPPO AI Center’ ที่เน้นวิจัยและพัฒนาด้าน AI และแอปพลิเคชันโดยเฉพาะเพื่อเสริมขีดความสามารถ AI และพัฒนาผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ AI ใหม่ๆ ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ทำให้ OPPO จะเพิ่ม Generative AI ในสมาร์ทโฟนทั้งหมด ตั้งแต่ Find N Series, Find X Series, Reno Series และ A Series สู่การเป็น ‘AI Phone’ ที่เข้าถึงทุกคนได้อย่างแท้จริง
ซึ่ง Generative AI ของ OPPO จะเข้ามายกระดับประสบการณ์การใช้งานในชีวิตประจำวันใน 2 ด้านสำคัญ ดังนี้:
- การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient Productivity): การสรุปเอกสารหรือไฟล์บันทึกเสียง (Document/recording Summarization), การแปลเอกสาร (Document Translation), การสร้างข้อความหรือการตอบโต้ (Copy/response Generation)
- ความคิดสร้างสรรค์เฉพาะบุคคล (Personalized Creativity) : ยางลบ AI (AI Eraser), การปรับแต่งคุณภาพของรูป (Image Quality Enhancement), การสร้างรูปภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Image Generation) และการสร้างอีโมจิ (Emoji Generation)
OPPO มีทรัพยากรและพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน AI เอง อย่าง สิทธิบัตร AI, โมเดล AI ขนาดใหญ่, และเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ต่างๆ รวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ทั้ง Google, Microsoft, MediaTek, Qualcomm และอีกมากมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
เช่น OPPO Reno12 Series 5G จะมี Generative AI จาก Google อย่าง Gemini ที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI Toolbox เช่น AI Writer และ AI Recording Summary เพื่อเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และมี AI จาก Microsoft ช่วยในการสร้างเสียงพูดและเข้าใจข้อความต่างๆ
นอกจากนี้ OPPO ยังมอบประสบการณ์ AI Phone แบบไฮบริด ผสานการทำงานระหว่างอุปกรณ์และคลาวด์ ออกแบบระบบการกระจายการทำงาน 3 ชั้น:
1. โมเดลขนาดใหญ่มากทำงานบนคลาวด์
2. โมเดลขนาดใหญ่ช่วยประสิทธิภาพการใช้งาน
3. โมเดลขนาดเล็กทำงานออฟไลน์และปกป้องความเป็นส่วนตัว
OPPO มีความตั้งใจที่จะเพิ่ม Generative AI อีกมากมายเข้าไปอยู่ในสมาร์ทโฟนทุกกลุ่มของ OPPO ตั้งแต่ราคาเริ่มต้นไปจนถึงระดับแฟลกชิป ซึ่งตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกได้ฟื้นตัวในไตรมาสที่ 1/2024 จากยอดจัดส่งทั่วโลกเติบโต 7.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ OPPO ประสบความสำเร็จในการจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกไปแล้วกว่า 25 ล้านเครื่อง ทำให้ OPPO ติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำของตลาดโลกกว่า 20 ประเทศ และครองตำแหน่งแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดอินโดนีเซียและกัมพูชาอีกด้วย ด้วยภาพจำของสมาร์ทโฟนคนรุ่นใหม่ ที่มีความสดใส และยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้วย