ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลก "ยูนิลีเวอร์" เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Dove, Sunsilk, Knorr และ Magnum กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในตลาดยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักของบริษัท ส่งผลให้บริษัทต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยประกาศแผนลดจำนวนพนักงานในสำนักงานประจำยุโรปลงสูงสุดถึง 3,200 ตำแหน่ง ภายในสิ้นปี 2568
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ยูนิลีเวอร์ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ระดับโลก มีแผนปรับลดจำนวนพนักงานในสำนักงานประจำภูมิภาคยุโรปลงหนึ่งในสาม ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการกระตุ้นการเติบโตของบริษัท โดย คณะผู้บริหารยูนิลีเวอร์ (Unilever) ประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หั่นตำแหน่งงานในยุโรป 3,000-3,200 ตำแหน่งภายในสิ้นปี 2568 นับเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
การตัดสินใจครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของนายไฮน์ ชูมัคเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบัน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นหลายราย รวมถึงนายเนลสัน เพลท์ซ นักลงทุนชื่อดัง ที่ต้องการเห็นผลประกอบการของบริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ ยูนิลีเวอร์ได้ดำเนินมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง และการปรับลดจำนวนบุคลากรในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน
ยูนิลีเวอร์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ระดับโลก กำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยประกาศแผนลดจำนวนพนักงานในสำนักงานประจำยุโรปลงสูงสุดถึง 3,200 ตำแหน่ง ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของพนักงานทั้งหมดในภูมิภาค
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามแผนงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity Programme) ที่บริษัทประกาศไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานทั่วโลกสูงสุดถึง 7,500 ตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของบริษัท
ตำแหน่งงานที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ พนักงานในฝ่ายบริหาร ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย และฝ่ายสนับสนุนต่างๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าจะพยายามลดผลกระทบต่อพนักงานให้น้อยที่สุด โดยจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารอย่างเปิดเผยและการให้การสนับสนุนที่จำเป็นแก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ
คอนสแตนตินา ทริบู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ระบุในระหว่างการประชุมทางไกลว่า "การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะส่งผลให้มีการลดจำนวนพนักงานในยุโรปราว 3,000 ถึง 3,200 ตำแหน่งภายในสิ้นปี 2568" อย่างไรก็ตาม นายเฮอร์มันน์ ซ็อกเกเบิร์ก ประธานสภายุโรปของยูนิลีเวอร์ มองว่าการใช้คำว่า "โครงการเพิ่มผลิตภาพ" (Productivity Programme) ในการเรียกแผนการปรับโครงสร้างครั้งนี้ เป็นการเรียกชื่อที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากพนักงานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลผลิตให้กับบริษัทกลับต้องตกงาน
การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูการเติบโตของยูนิลีเวอร์ หลังจากที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายในช่วงที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม บริษัทได้ประกาศแผนแยกธุรกิจไอศกรีมซึ่งเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ดังอย่าง Magnum และ Ben & Jerry's ออกเป็นบริษัทอิสระ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับความท้าทายในตลาดโลก
ด้านนักลงทุนมองว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย นายแจ็ค มาร์ติน ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของ Oberon Investments กล่าวว่า "การขายธุรกิจไอศกรีมเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การปรับลดพนักงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแสดงให้เห็นว่ายังมีงานอีกมากที่ต้องทำเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น"
การปรับลดพนักงานครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับยูนิลีเวอร์ แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
การประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ของยูนิลีเวอร์ในยุโรป ซึ่งรวมถึงการลดจำนวนพนักงานจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทในเครือทั่วโลกในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อยูนิลีเวอร์ประเทศไทยคาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากปัจจัยหลายประการ
อย่างไรก็ตาม ยูนิลีเวอร์ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมบ้าง เช่น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระดับโลก หรือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานในระยะยาว แต่คาดว่าผลกระทบโดยรวมจะอยู่ในวงจำกัด และยูนิลีเวอร์ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาต่อไปในอนาคต
ที่มา reuters