วงการค้าปลีกโลกกำลังจับตาการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เมื่อ Couche-Tard บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากแคนาดา เจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle K ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Seven & i Holdings บริษัทแม่ของ 7-Eleven ทั่วโลก หากดีลนี้สำเร็จ จะกลายเป็นการซื้อกิจการครั้งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น
โดยบริษัทต่างชาติ ดีลนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในตลาดญี่ปุ่น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในบรรษัทภิบาลของญี่ปุ่น ซึ่งกำลังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้อาจไม่ง่ายนัก เนื่องจาก Seven & i Holdings มีท่าทีลังเลในการขายกิจการ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นก็ตาม
รายงานของทาง reuters ระบุว่า เซเว่น แอนด์ ไอ (Seven & i holdings) บริษัทแม่ของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมายืนยันว่า ได้รับข้อเสนอเบื้องต้นในการเข้าซื้อกิจการจากบริษัท Alimentation Couche-Tard จากประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ Circle-K การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ หากสำเร็จ จะส่งผลให้ Seven & i กลายเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดจากการเข้าซื้อกิจการโดยบริษัทต่างชาติ
แม้ว่าผลของข้อเสนอยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ข่าวนี้ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Seven & i พุ่งสูงขึ้นเกือบ 23% ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว คิดเป็นมูลค่าบริษัทราว 5.6 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ Couche-Tard มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จากแหล่งข่าววงในสองรายที่ไม่ประสงค์ออกนาม ระบุว่า Couche-Tard ได้ยื่นข้อเสนอขอเข้าซื้อกิจการ Seven & i ทั้งหมด แม้ว่ามูลค่าของข้อเสนอยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่ข้อเสนอนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในสินทรัพย์ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สำหรับบริษัท Seven & i มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 77,000 คน และรายได้หลักมาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อในต่างประเทศ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงสามในสี่ของรายได้ทั้งหมด
บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่แห่งนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นเพื่อพิจารณาข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการ โดยระบุในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า ทั้งคณะกรรมการและคณะกรรมการบริหารของบริษัทยังไม่ได้มีมติใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์ Nikkei รายงานข่าวเกี่ยวกับการเสนอซื้อกิจการ ด้าน Alimentation Couche-Tard ยังไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ ต่อสื่อมวลชนนอกเวลาทำการปกติ
แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่าการเจรจายังอยู่ใน "ขั้นตอนเบื้องต้น"
หากดีลนี้ประสบความสำเร็จ การเข้าซื้อกิจการ Seven & i ทั้งหมดจะกลายเป็นการซื้อกิจการบริษัทญี่ปุ่นครั้งใหญ่ที่สุดโดยบริษัทต่างชาติ ทำลายสถิติเดิมที่กลุ่มทุน Bain Capital เข้าซื้อกิจการหน่วยความจำของ Toshiba ในปี 2018 ด้วยมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อมูลจาก LSEG ระบุ
ด้านผู้บริหาร 7-Eleven กำลังเดินหน้าเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเครือข่ายร้านสะดวกซื้อทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่ได้ขายสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้ต่ำออกไป หลังจากถูกกดดันจาก ValueAct Capital ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เกี่ยวกับการจัดสรรสินทรัพย์
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว บริษัทได้ประกาศปิดซูเปอร์มาร์เก็ต Ito-Yokado หลายสิบแห่ง เลิกกิจการเสื้อผ้า และขายหุ้นทั้งหมดใน Sogo & Seibu ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อย่างไรก็ตาม คาดว่า Couche-Tard จะไม่สามารถปิดดีลนี้ได้ง่ายๆ
"ผมมีความสงสัยอย่างยิ่งว่าข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการนี้จะบรรลุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่ Seven & i ไม่เต็มใจที่จะขายแม้แต่ธุรกิจดั้งเดิมของพวกเขา" Oshadhi Kumarasiri นักวิเคราะห์จาก LightStream Research ที่ศึกษา Seven & i และเผยแพร่บทวิเคราะห์บน Smartkarma กล่าว "เว้นแต่ข้อเสนอจะมีมูลค่าสูงกว่าราคาหุ้น Seven & i ในช่วงที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าฝ่ายบริหารจะไม่พิจารณาข้อเสนอนี้ด้วยซ้ำ"
อามีร์ อันวาร์ซาเดห์ นักกลยุทธ์จาก Asymmetric Advisors กล่าวว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับราคา และคาดว่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้ราคาหุ้นน่าสนใจยิ่งขึ้น และหากหุ้นใดมีมูลค่ามากกว่า 7 ล้านล้านเยน ฝ่ายบริหารคงจะต้องลำบากใจมากที่จะปฏิเสธ”
Mio Kato นักวิเคราะห์จาก LightStream Research กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าเซเว่นจะอยากขาย และถ้าไม่มีข้อเสนอเงินสดที่น่าดึงดูดใจ ผมคิดว่าโอกาสที่บางอย่างจะเกิดขึ้นก็ค่อนข้างน้อย”
สำหรับนักลงทุน การเสนอซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงความน่าสนใจที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในญี่ปุ่น ซึ่งเคยถูกมองข้ามเป็นเวลานาน โดยดันแคน คลาร์ก ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน BDA กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในบรรษัทภิบาลของญี่ปุ่นช่วยเน้นย้ำถึงความรู้สึกถึงความเกี่ยวข้องที่กลับมาอีกครั้งสำหรับญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่น
ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และในปีนี้ดัชนีนิกเกอิก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการปฏิรูปการกำกับดูแลกิจการ
ด้าน มาโนช เจน ผู้ร่วมก่อตั้งและ Co-CIO ของ Maso Capital ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกงกล่าวว่า "นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความน่าสนใจของตลาดญี่ปุ่นสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ"
เจน กล่าวอีกว่า "เมื่อรวมกับความสนใจของภาคเอกชน เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปโดยได้รับแรงหนุนจากมูลค่าสินทรัพย์อ้างอิง ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงิน" สำหรับ Couche-Tard ก่อตั้งขึ้นในปี 1980 เติบโตจากร้านค้าเดียวในควิเบกไปสู่เครือข่ายร้านสะดวกซื้อและสถานีบริการน้ำมันทั่วโลก ส่วนใหญ่ผ่านการเข้าซื้อกิจการ
หากตกลงกันได้ ข้อตกลงนี้จะเป็นไปตามการซื้อสถานีบริการน้ำมันบางแห่งของ TotalEnergies (TTEF.PA) ในยุโรปของ Couche-Tard มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว และการเสนอราคา 2 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับ Carrefour ผู้ค้าปลีกอาหารรายใหญ่ที่สุดของยุโรป ซึ่งถูกปฏิเสธในปี 2021 โดยรัฐบาลฝรั่งเศสเนื่องจากมีความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร สำหรับ ในปี 2020 Seven & i และ Couche Tard เป็นผู้เสนอราคาที่แข่งขันกันเพื่อเข้าซื้อกิจการเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน Speedway ของสหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดบริษัทญี่ปุ่นก็สามารถซื้อกิจการได้ในราคา 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์
การเสนอซื้อกิจการ Seven & i Holdings โดย Couche-Tard นับเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการค้าปลีกโลก แม้ดีลนี้จะยังไม่แน่นอน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดญี่ปุ่น และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในระดับโลก
หากการเข้าซื้อกิจการสำเร็จ Couche-Tard จะได้เป็นเจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูงอย่างเอเชียได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน Seven & i Holdings ก็อาจได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของ Couche-Tard ในการเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไร
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญ คือ ท่าทีของ Seven & i Holdings ที่ยังไม่แน่ใจว่า จะขายกิจการหรือไม่ แม้จะมีแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของทั้งสองบริษัท และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกโลกในวงกว้าง เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าดีลนี้จะจบลงอย่างไร และจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการค้าปลีกโลกหรือไม่
ที่มา reuters , thejapantimes