ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลาย และการแข่งขันที่ดุเดือด ล้วนเป็นความท้าทายที่ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญ ล่าสุด เซเว่น อีเลฟเว่น เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ ประกาศปิดสาขากว่า 400 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในแวดวงธุรกิจค้าปลีก และจุดประกายคำถามถึงอนาคตของเซเว่น อีเลฟเว่น ท่ามกลางสมรภูมิการค้าที่ดุเดือด
เซเว่น อีเลฟเว่น ประกาศแผนการปิดสาขาจำนวนมากถึง 444 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ สืบเนื่องจากผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
Seven & I Holdings บริษัทแม่ของเชนร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลผ่านรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสว่า สาเหตุหลักของการปิดสาขาครั้งนี้ มาจากปัจจัยลบหลายประการ อาทิ ยอดขายที่ชะลอตัวลง ปริมาณลูกค้าที่ลดลง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และยอดจำหน่ายบุหรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยรายชื่อสาขาที่จะได้รับผลกระทบจากแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ โดยปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากว่า 13,000 แห่งกระจายอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งจำนวนสาขาที่บริษัทฯมีแผนจะปิดตัวลงนั้น คิดเป็นสัดส่วน 3% ของจำนวนสาขาทั้งหมด
รายงานผลประกอบการของ Seven & I Holdings ระบุว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของอเมริกาเหนือจะยังคงมีเสถียรภาพ แต่บริษัทฯ พบแนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคในกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และสภาวะตลาดแรงงานที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ปัจจัยลบดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ลดลง 7.3% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นอกจากนี้ ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมวดหมู่สินค้าที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับร้านสะดวกซื้อ กลับลดลงถึง 26% นับตั้งแต่ปี 2019 แม้ว่ายอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นิโคตินทดแทนประเภทอื่นๆ อาทิ Zyn จะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ไม่สามารถชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปจากการลดลงของยอดจำหน่ายบุหรี่ได้
เซเว่น อีเลฟเว่น ได้ชี้แจงต่อ CNN ว่า บริษัทฯ มีการทบทวนและดำเนินการปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และการปิดสาขาในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการขยายสาขาในพื้นที่ซึ่งลูกค้ามีความต้องการในการเข้าถึงร้านสะดวกซื้อสูง
นาย นีล ซอนเดอร์ส นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมค้าปลีกและกรรมการผู้จัดการของ GlobalData Retail ให้ความเห็นว่า การปิดสาขา 444 แห่ง เป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเชิงรุกของเชนร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ เพื่อรักษาประสิทธิภาพและผลกำไรทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นาย นีล ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า "สาขาที่เซเว่น อีเลฟเว่น มีแผนจะปิดตัวลงนั้น คาดการณ์ว่าได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากจำนวนลูกค้าที่ลดลง อันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น และบีบบังคับให้ผู้บริโภคต้องลดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น" "นอกจากนี้ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และร้านค้าราคาประหยัด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคแสวงหาทางเลือกในการจับจ่ายสินค้าในราคาที่ย่อมเยากว่า"
อย่างไรก็ตาม เซเว่น อีเลฟเว่น ยืนยันว่า บริษัทฯ จะยังคงมุ่งมั่นลงทุนในธุรกิจอาหารในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในปัจจุบัน อาหารจัดเป็นหมวดหมู่สินค้าที่สร้างรายได้สูงสุด และเป็นปัจจัยหลักในการดึงดูดลูกค้า แต่จากผลสำรวจล่าสุดบ่งชี้ว่า คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Wawa และ Sheetz กลับได้รับคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าในภาพรวมที่สูงกว่า ในขณะที่เซเว่น อีเลฟเว่น กลับถูกจัดให้อยู่ในอันดับท้ายๆ
ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการล่าสุดของเซเว่น อีเลฟเว่น มีขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวการเข้าซื้อกิจการโดย Couche-Tard เจ้าของเครือข่ายร้านสะดวกซื้อ Circle-K ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการเป็นมูลค่า 47.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8 พันล้านดอลลาร์จากข้อเสนอเดิม
การปิดสาขากว่า 400 แห่งของเซเว่น อีเลฟเว่น ในครั้งนี้ นับเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอันหลากหลายที่ภาคธุรกิจค้าปลีกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความเปลี่ยนแปลงไป และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กรธุรกิจชั้นนำ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกของเซเว่น อีเลฟเว่น เช่น การมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจอาหาร การขยายเครือข่ายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพสูง และการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีความพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทาย และธำรงไว้ซึ่งความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีก
ยิ่งไปกว่านั้น กระแสข่าวการเข้าซื้อกิจการโดย Couche-Tard นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ควรค่าแก่การติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากกระบวนการเจรจาซื้อขายกิจการดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จ ย่อมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างและพลวัตของอุตสาหกรรมค้าปลีก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ในอนาคตอันใกล้
ท้ายที่สุด ความสำเร็จของเซเว่น อีเลฟเว่น ในระยะยาว จะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตขององค์กร รวมถึงบทบาทของเซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะผู้เล่นหลักในตลาดค้าปลีกต่อไป
ที่มา CNN