อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังแผ่วลงอย่างน่าใจหาย ตัวเลขยอดขายที่ลดลงต่อเนื่องตลอด 7 เดือนแรกของปี 2567 เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตที่อาจรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี ไม่เพียงแค่ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่ถาโถมเข้ามา แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม ด้วยการผงาดของรถยนต์ไฟฟ้าและผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนกำลังสั่นคลอนโครงสร้างเดิมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บทความนี้ SPOTIGHT จะพาคุณเจาะลึกถึงปัจจัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังวิกฤตนี้ ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก จนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก พร้อมวิเคราะห์ถึงอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือเพื่อความอยู่รอ
อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรุนแรง ข้อมูลล่าสุดจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ด้วยยอดผลิตและยอดขายรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลงอย่างต่อเนื่อง นับเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้วนับตั้งแต่ต้นปี
ปัจจัยลบหลายประการส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็เป็นปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป
สถานการณ์ดังกล่าวบังคับให้ต้องมีการปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ลงถึง 200,000 คัน จากเดิม 1.9 ล้านคัน เหลือเพียง 1.7 ล้านคัน โดยการปรับลดนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศ จาก 750,000 คัน เหลือเพียง 550,000 คัน ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน หากสถานการณ์ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น ยอดขายรถยนต์ในปีนี้อาจลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี
อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 40 ปี ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่กำลังมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า และการเปลี่ยนแปลงของผู้เล่นในตลาด จากเดิมที่ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นและยุโรปเคยครองตลาด ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์จากจีนได้ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญ
การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงนี้ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกหลายราย อาทิ Ford, General Motors, Volkswagen และ Tesla ต้องทบทวนและปรับแผนการขยายตลาดในต่างประเทศ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการลงทุนในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้
ล่าสุด VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนาม ซึ่งได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) กับตัวแทนจำหน่าย 15 รายในประเทศไทย และมีเป้าหมายในการเปิดโชว์รูม 22 แห่งในกรุงเทพฯ ได้ตัดสินใจเลื่อนการเปิดเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยออกไป นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของแผนการลงทุนในประเทศไทยของ Tesla รวมถึงการตัดสินใจยุติการผลิตในประเทศไทยของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Suzuki และ Subaru
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและความผันผวนที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้จำเป็นต้องปรับตัวและกำหนดกลยุทธ์อย่างรอบคอบ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันการเงินผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบ้าง แต่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดของราคาสินทรัพย์ (รถยนต์) ในอนาคต, ความเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้, รวมถึงข้อกำหนดและมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ทำให้สถาบันการเงินยังคงดำเนินนโยบายการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้ออย่างรอบคอบ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. แสดงความเห็นสอดคล้องกับประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศ โดยเฉพาะรถปิกอัพ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ นายสุรพงษ์ยังคาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์จะสามารถเกิดขึ้นได้ ancak เมื่อปัญหาหนี้ครัวเรือนได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ โดยกล่าวว่า "หากรัฐบาลสามารถดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งสองได้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง"
"ในปัจจุบัน อัตราการเติบโตของหนี้ครัวเรือนยังคงสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP เราจำเป็นต้องทำให้ GDP ขยายตัวได้อย่างน้อย 3% หรือในอัตราที่สูงกว่า เช่น 4-5% จะเป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการขายรถยนต์หนึ่งคันหรือบ้านหนึ่งหลัง สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานได้อีกมากมาย" นายสุรพงษ์ กล่าวสรุป
ศูนย์วิจัย ttb analytics ได้ออกมาประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2567 ว่ากำลังเผชิญกับภาวะหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี โดยคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศอาจไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ได้ในเร็ว ๆ นี้ สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในระยะยาว ซึ่งเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 5 ประการดังนี้
ttb analytics ประเมินว่าปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว ทำให้ยอดขายรถยนต์ในปี 2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจเป็นไปได้ยากในอนาคตอันใกล้
วิกฤตที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบระยะสั้นจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้
การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านรถยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้
นอกจากนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน และการส่งเสริมนโยบายที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ด้วยการปรับตัวและความร่วมมือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังมีโอกาสที่จะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ และเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต