ทุกครั้งที่บริษัทเทคโนโลยีเปิดตัวสินค้าหรือแกดเจ็ตใหม่ มักจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เช่น สมาร์ทโฟน หรือคอนโซลเกม แต่สำหรับปีนี้ สาวกเทคฯ ต่างจับจ้องไปที่ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีใครรู้จัก หรือแม้แต่แทบไม่เคยเห็นเลย นั่นก็คือ ‘ชิป H100’
ชิปอันทรงพลังของ NVIDIA ชิ้นนี้ ช่วยให้เกิดเครื่องมือ AI รุ่นใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมทั้งหมด และยังผลักดันให้ NVIDIA กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เนื่องจากความต้องการที่มหาศาล จนเกิดการขาดแคลนของชิปอยู่ในหลายครั้งนี้
นอกจากนี้ H100 ยังแสดงให้นักลงทุนเห็นว่า กระแสตอบรับต่อ AI กำลังแปลงเป็นรายได้จริง อย่างน้อยก็สำหรับ NVIDIA และซัพพลายเออร์ที่สำคัญที่สุดของบริษัท และในเวลาเดียวกัน ยังเป็นการพิสูจน์ให้คู่แข่งที่ปรับตัวไม่ทัน อาจต้องยกธงขาวยอมแพ้
ชิป H100 เป็นหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) รุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงพลังและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก โดยชื่อของ H100 ถูกตั้งตามชื่อตามพลเรือตรี ‘Grace Hopper’ ผู้บุกเบิกด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาภาษาโปรแกรม
H100 มักถูกใช้อยู่ในพีซี และช่วยให้การเล่นวิดีโอเกมมีภาพที่สมจริงที่สุด โดยประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนคลัสเตอร์ชิป NVIDIA ให้กลายเป็นหน่วยเดียว สามารถประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาล และคำนวณด้วยความเร็วสูง เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานในการฝึกนิวรัลเน็ตเวิร์ค (neural networks) หรือโครงข่าวประสาทเทียม ที่รองรับ Generative AI เป็นอย่างมาก
เนื่องจาก Generative AI เรียนรู้ที่จะทำงาน อย่างการแปลข้อความ การสรุปรายงาน และการสังเคราะห์ภาพ โดยการนำข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมากมาใช้ ยิ่งมีข้อมูลหรือการมองเห็นมากเท่าไหร่ แพลตฟอร์มก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น เช่น การเข้าใจภาษามนุษย์ หรือการเขียนจดหมายสมัครงาน
นอกจากนี้ H100 ยังสามารถใช้ในการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระบบวินิจฉัยทางการแพทย์ และแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้ โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้ พัฒนาผ่านการลองผิดลองถูกหลายพันล้านครั้ง เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญ และต้องใช้พลังการประมวลผลจำนวนมหาศาลไปพร้อมกัน
หากดูฟีเจอร์ของชิป H100 พบว่า สามารถประมวลผลได้รวดเร็วกว่าชิปรุ่นก่อนอย่าง A100 ถึง 4 เท่า สำหรับการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ตอบสนองต่อคำสั่งของผู้งานได้เร็วกว่าถึง 30 เท่า และมีแบนด์วิดท์และประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทำให้เหมาะกับโมเดล AI ขนาดใหญ่มากขึ้น
ทำให้มูลค่าของ H100 มีราคาสูงพอสมควร ตามที่นักวิเคราะห์ของ Raymond James ประมาณการว่า NVIDIA ขายชิป H100 ในราคา 25,000-30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 840,250-1,008,000 บาท และใน eBay อาจสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทะลุ 1,345,000 บาท
นับตั้งแต่ปี 1993 ที่ NVIDIA ก่อตั้ง บริษัทกลายมาเป็นผู้นำในตลาด จากการลงทุนเชิงกลยุทธ์เมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ในขณะนั้น บริษัทคาดการณ์ว่า ความสามารถในการประมวลผลแบบขาน (parallel computing) ซึ่งทำหลายงานพร้อมกัน จะทำให้ชิปของ NVIDIA มีประโยชน์ในแอปพลิเคชันอื่นๆ นอกเหนือจากใช้เพียงในเกมเท่านั้น
โดยในปี 2000 วิศวกรของ NVIDIA ตระหนักว่า พวกเขาสามารถปรับเครื่องมือเร่งความเร็วกราฟิกเหล่านี้ให้เหมาะกับการใช้งานอื่นๆ ได้ด้วยการแบ่งงานออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้ว ทำงานให้ไปพร้อมกัน ทำให้นักวิจัยด้าน AI ค้นพบว่า ในที่สุดงาน ของพวกเขาก็สามารถทำได้จริงด้วยการใช้ชิปประเภทนี้
แนวทางที่มองการณ์ไกลนี้ ทำให้บริษัทสามารถพัฒนา GPU ที่ทรงพลังมาก และมีความจำเป็นในอุตสาหกรรมต่างๆ ปัจจุบัน NVIDIA ครองตลาด GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่ประมาณ 92% ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด IDC
โดยผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งรายใหญ่ ทั้ง AWS ของ Amazon, Google Cloud ของ Alphabet, และ Azure ของ Microsoft กำลังพยายามพัฒนาชิปของตนเอง รวมถึงคู่แข่งหลักของ NVIDIA อย่าง ‘Advanced Micro Devices’ (AMD) ผู้ผลิตชิปกราฟิกคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับสองของโลก และ ‘Intel’
AMD ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Instinct เมื่อปีที่ผ่านมา มุ่งเป้าไปที่ตลาดที่ผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA กำลังครองตลาดอยู่ โดยเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Lisa Su ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AMD ประกาศเปิดตัวโปรเซสเซอร์ ‘AI MI300’ รุ่นอัปเดต ซึ่งจะวางจำหน่ายในไตรมาสที่สี่ และระบุว่าจะมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาในปี 2025 และ 2026 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่มีต่อธุรกิจนี้
ส่วน Intel มีโปรเซสเซอร์ Xeon ที่สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนกว่า H100 ของ NVIDIA และกำลังออกแบบชิปที่รองรับเวิร์กโหลด AI ได้ แม้ยอมรับว่าในตอนนี้ ความต้องการชิปกราฟิกสำหรัดาต้าเซ็นเตอร์กำลังเติบโตเร็วกว่าหน่วยประมวลผลเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของเหล่าคู่แข่งในการเอาชนะ NVIDIA ในตลาดตัวเร่งการประมวลผล AI ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจาก NVIDIA มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และซอฟต์แวร์เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์ ด้วยความเร็วที่ยังไม่มีบริษัทไหนทำได้
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกแบบระบบคลัสเตอร์ต่างๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อ H100 เป็นจำนวนมากและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโปรเซสเซอร์ Xeon แม้ประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนกว่า แต่ก็มีคอร์ที่น้อยกว่า และทำงานช้ากว่ามาก เมื่อต้องรับมือกับข้อมูลจำนวนมากที่มักใช้ในการฝึกซอฟต์แวร์ AI
ไม่เพียงเท่านี้ NVIDIA ไม่ได้มีข้อได้เปรียบแค่ประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์เท่านั้น บริษัทได้คิดค้นสิ่งที่เรียกว่า CUDA ซึ่งเป็นภาษาสำหรับชิปกราฟิกที่ช่วยให้สามารถเขียนโปรแกรมสำหรับงานประเภทที่รองรับโปรแกรม AI ได้
นับตั้งแต่ NVIDIA เปิดตัวชิป H100 ในปี 2023 บริษัทไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรม และได้ประกาศชิปที่ประมวลผลเร็วกว่าเดิม นั่นคือ ‘H200’ ‘Blackwell B100’ และ ‘Blackwell B200’ โดยหลังจากนี้ NVIDIA วางแผนที่จะเปิดตัว Blackwell ผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนรอคอยมากที่สุด ซึ่งคาดว่า บริษัทจะสามารถทำรายได้จาก Blackwell จำนวนมากในปีนี้
เนื่องจากการฝึก LLM กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันของบริษัทเทคฯ ที่ดุเดือด การมีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งชิปของ NVIDIA จำนวนมาก ถูกมองว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนา AI ที่สุด ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจำกัดการจำหน่าย H200 และให้จำหน่ายรุ่นที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าหลายรุ่นให้กับประเทศจีน
นอกจากนี้ NVIDIA ยังรู้ดีว่า เมื่อลูกค้าเลือกใช้เทคโนโลยีนี้สำหรับโครงการ Generative AI ของตนแล้ว NVIDIA จะสามารถขายสินค้าเวอร์ชั่นอัปเกรดให้แก่ลูกค้าได้ง่ายกว่าคู่แข่ง ที่หวังจะดึงลูกค้าให้ห่างไปมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทประสบปัญหาทางวิศวกรรมในการพัฒนา ซึ่งจะทำให้การเปิดตัวผลิตภัณฑ์บางรายการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ล่าช้าออกไป
ในขณะเดียวกัน ความต้องการฮาร์ดแวร์ซีรีส์ H ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง Jensen Huang (เจนเซ่น หวง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พยายามโน้มน้าวรัฐบาล และภาคเอกชนให้ซื้อล่วงหน้า มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการตามผู้คนที่นำ AI มาใช้ไม่ทัน
ทั้งนี้ ชิป H100 เป็นก้าวที่สำคัญในการผลักดันการเติบโตที่ก้าวกระโดดของ NVIDIA แต่เพราะบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รวมทั้งมองเห็นถึงโอกาสที่หลายคนอาจไม่ให้ความสำคัญหรือนึกไม่ถึง ยิ่งผลักดันให้ NVIDIA สามารถตีตลาดใหม่ๆ รวมทั้งครองตลาดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในฐานะบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอันดับสาม หรือ 2.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (88.36 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 6 กันยายน 2024
ที่มา Bloomberg, NVIDIA, Gcore, Data Center Knowledge, World Economic Forum, Techovedas, Companies Market Cap, CNBC