แบรนด์ไก่ทอดระดับตำนานอย่าง KFC กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤต เมื่อล่าสุด Yum Brands บริษัทแม่ของ KFC, Pizza Hut และ Taco Bell ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ทำเอานักลงทุนและแฟนๆ ไก่ทอดทั่วโลกถึงกับช็อก! ยอดขายทั่วโลกร่วง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
สงครามราคาที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ด กำลังกลายเป็นสนามรบที่ KFC ต้องงัดทุกกลยุทธ์ออกมาสู้ แต่ดูเหมือนว่าศึกครั้งนี้จะไม่ง่าย แม้แต่ "Taste of KFC" เมนูสุดคุ้มที่หวังจะมากู้วิกฤต ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ แล้วอนาคตของ KFC จะเป็นอย่างไรต่อไป?
Yum Brands Inc. (YUM.N) บริษัทแม่ของแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังอย่าง KFC, Pizza Hut และ Taco Bell รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ผ่านมา พบว่ายอดขายสาขาเดิมทั่วโลกลดลงอย่างน่าผิดหวัง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ซบเซาของ KFC ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งลดลงถึง 5% นับเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันของปีนี้ที่ KFC สหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับภาวะยอดขายตกต่ำ
แม้ว่าในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา KFC สหรัฐฯ จะได้เปิดตัวเมนูประหยัด "Taste of KFC" นำเสนอชุดไก่ทอด 8 ชิ้น และชุดไก่ทอดพร้อมข้าวในราคาเพียง 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่ากลยุทธ์ดังกล่าวยังไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ผลประกอบการของ Yum Brands ยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนของยอดขายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของบริษัทในไตรมาสนี้
กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนเมนูของ KFC ในครั้งนี้ ถือเป็นการรับมือกับ "สงครามราคา" ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารบริการด่วน ซึ่งคู่แข่งรายสำคัญอย่าง McDonald's และ Burger King ต่างนำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดที่ดึงดูดใจผู้บริโภค
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ KFC เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษายอดขาย ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและแสวงหาข้อเสนอพิเศษมากขึ้น อันเนื่องมาจากราคาอาหารที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม Taco Bell ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารเม็กซิกันในเครือ Yum Brands ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่น โดยมีรายงานยอดขายสาขาเดิมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 4% ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 11 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และกลยุทธ์ทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จ
Yum Brands Inc. (YUM.N) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารชั้นนำระดับโลก รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2567 โดยยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกลดลง 2% ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 0.23% ตามข้อมูลของ LSEG ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายในครั้งนี้ ประกอบด้วย
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ Yum Brands ในไตรมาสนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง Restaurant Brands International (QSR.TO) บริษัทแม่ของ Burger King และ McDonald's (MCD.N) ต่างรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดการณ์เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายจะลดลง แต่ Yum Brands ยังคงมีผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาสที่ 3 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน) อยู่ที่ 1.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.41 ดอลลาร์สหรัฐฯ เล็กน้อย
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Yum Brands ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทฯ กำลังเผชิญ ท่ามกลางพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมอาหารบริการด่วน
อย่างไรก็ตาม Yum Brands ยังคงมีจุดแข็ง ที่สามารถใช้เป็นรากฐานในการขับเคลื่อนธุรกิจ และสร้างการเติบโตในอนาคต ได้แก่
แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยศักยภาพของแบรนด์ และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง Yum Brands มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในระยะยาว
อ้างอิง reuters