Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สิ้นผู้ร่วมก่อตั้ง Red Bull ผู้ต่อยอด 'กระทิงแดง' ของไทย บุกตลาดโลก
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

สิ้นผู้ร่วมก่อตั้ง Red Bull ผู้ต่อยอด 'กระทิงแดง' ของไทย บุกตลาดโลก

23 ต.ค. 65
12:19 น.
|
11K
แชร์

Dietrich Mateschitz ซีอีโอผู้ร่วมก่อตั้ง Red Bull ที่มาจาก 'กระทิงแดง' ของไทย เสียชีวิตแล้วในวัย 78 ปี


หลายคนอาจเคยสงสัยความคล้ายกันของ 2 แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ระหว่าง "Red Bull" กับ "กระทิงแดง" ว่ามันใช่บริษัทเดียวกันไหม เจ้าของเดียวกันหรือเปล่า

ทั้งสองแบรนด์เป็น "คนละแบรนด์กัน" เพียงแต่ Red Bull นั้นมีที่มาจากกระทิงแดงในไทย โดยมีชาวออสเตรีย  Dietrich Mateschitz ที่มาเที่ยวเมืองไทยเมื่อปี 2525 ติดใจในรสชาติ และลงทุนร่วมกับกระทิงแดงเพื่อพา Red Bull ไปเปิดตลาดโลก

วันนี้  Dietrich Mateschitz ซีอีโอผู้ร่วมก่อตั้งเรดบูล ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 78 ปี ทีมข่าว Spotlight จะพาไปย้อนดูที่มาของการพาเครื่องดื่มชูกำลังไปบุกตลาดโลก และเส้นทางที่ทำให้ Red Bull เป็นเบอร์ 1 ของโลก ด้วยมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านบาทกัน ทำยอดขายสูงถึง 5.4 พันล้านกระป๋อง และบุกตลาดไปแล้วในกว่า 165 ประเทศทั่วโลก

Dietrich Mateschitz, Red Bull

ติดใจของดีเมืองไทย จนพาไปบุกตลาดโลก

จุดเริ่มต้นนั้นมาจากการที่ Dietrich Mateschitz นักธุรกิจชาวออสเตรีย ได้เดินทางมาไทยเมื่อปี 2525 และได้ลองดื่ม "กระทิงแดง" เพื่อลดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางโดยเครื่องบิน (jet lag) แล้วเกิดติดใจขึ้นมา จึงได้เจรจากับ "เฉลียว อยู่วิทยา" เจ้าของกระทิงแดงในขณะนั้น เพื่อชวนไปลงทุนทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังบุกตลาดยุโรป

ที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH ขึ้นที่ออสเตรีย ในปี 2527 โดยทั้งสองฝ่ายถือหุ้นกันคนละ 49% และลูกชายของคุณเฉลิมถือหุ้นที่เหลืออีก 2% โดยทำเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ "Red Bull" โดยใช้กลยุทธ์ในการสร้างฐานการตลาดแบบแจกสินค้าให้ทดลองชิม บวกกับการวางตำแหน่งแบรนด์สินค้าเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน "ระดับพรีเมียม" เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักศึกษามหาวิทยาลัย หรือคนทำงานที่ต้องการความสดชื่นและตื่นตัว ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และที่สำคัญก็คือ เน้นทำการตลาดไปที่กลุ่ม "กีฬาเอ็กซ์ตรีม" (Extreme)

แต่กว่าจะมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะได้ใบอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มชูกำลังในออสเตรีย และทำการตลาดอย่างจริงงจัง ก็เริ่มในปี 2530 และในช่วงต้นก็ยังมีรายงานว่า "เทสต์" ของยุโรปนั้นยังไม่คุ้นกับลิ้นแบบไทยที่คิดว่ารสชาติในช่วงต้นนั้นหวานเกินไป จนต้องมีการปรับสูตรให้เข้ากับทางฝั่งยุโรป

 

"Sport Marketing" ความสำเร็จผ่านการตลาดกีฬาเอ็กซ์ตรีม

การวาง Brand position ให้เป็นแบบพรีเมียม ซึ่งหมายถึงราคาที่สูงกว่าราคาตลาด และสูงกว่าน้ำอัดลมเช่น โค้ก ประมาณ 8-10 เท่า ทำให้ Red Bull มุ่งไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ นักศึกษา และกลุ่มตลาดกีฬาเอ็กซ์ตรีมโดยเฉพสะ ซึ่งเต็มไปด้วยนักแข่งและแฟนกลุ่มคนรุ่นใหม่

โดยในช่วง 20 - 30 ปีก่อนนั้น กีฬาเอ็กซ์ตรีมยังไม่บูมมากเหมือนทุกวันนี้ จึงทำให้ค่าตัวหรือค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมยังไม่สูงมากนัก และเมื่อวงการเอ็กซ์ตรีมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ภาพของแบรนด์ก็ค่อยๆ ถูกตอกย้ำจนชัดเจนขึ้น ผ่านทางสื่อต่างๆ จนถ้าพูดถึงกีฬาเอ็กซ์ตรีม คนก็มักจะนึกถึง Red Bull ตามมาเป็นอันดับแรก

จุดเด่นของการทำการตลาดกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่หลายคนรู้จักกันดี ก็คือ การก่อตั้งทีมแข่งรถ Formula 1 ในชื่อทีม "Red Bull Reacing" ซึ่งผลักดันให้ Max Verstappen สามารถคว้าแชมป์โลกมาได้

Red Bull Reacing

นอกจากฟอร์มูล่าวันและกีฬาเอ็กซตรีมต่างๆ เช่น การแข่งจักรยานวิบาก มอร์เตอร์ไซค์วิบาก สกี เซิร์ฟ แล้วก็ยังรวมถึง "ฟุตบอล" โดยมีการซื้อสิทธิ์ของทีม "เอ็สเฟา ออสเตรียซัลทซ์บวร์ค" ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น 'สโมสรฟุตบอลเรดบุลซัลทซ์บวร์ค' หลังจากนั้นทีมนี้ก็ไต่อันดับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตารางในปีแรก ก่อนที่ปีถัดมาก็คว้าแชมป์ แล้วเป็นเจ้าสโมสรในประเทศมาอย่างยาวนาน  

รวมแล้ว Red Bull เป็นเจ้าของทีมกีฬาประมาณ 15 ทีมด้วยกันในหลายประเทศตั้งแต่ยุโรป อเมริกา เอเชีย อีกทั้งยังสนับสนุนนักกีฬาดังกว่าร้อยคน จนทำให้ Dietrich Mateschitz กลายเป็นบุคคลสำคัญของวงการกีฬานอกเหนือจากวงการธุรกิจไปแล้ว  

เว็บไซต์ของ Statista ระบุว่า ในปี 2564 แบรนด์ Red Bull ทั่วโลกมีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 1.599 หมื่นล้านดอลลาร์ (เกือบ 6 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 1.511 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันครองตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกมากถึง 43% ทำยอดขายสูงถึง 5.4 พันล้านกระป๋อง และบุกตลาดไปแล้วในกว่า 165 ประเทศทั่วโลก

ขณะที่นิตยสาร Forbes จัดอันดับในปี 2022 ว่า Dietrich Mateschitz มีสินทรัพย์ถึง 2.7 หมื่นล้านยูโร (ราว 1.01 ล้านล้านบาท) ถือว่าเป็นมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของออสเตรีย และหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก

แชร์

สิ้นผู้ร่วมก่อตั้ง Red Bull ผู้ต่อยอด 'กระทิงแดง' ของไทย บุกตลาดโลก