ผู้ผลิตรถญี่ปุ่นเป็นเจ้าครองตลาดรถยนต์ในประเทศกลุ่มเอเชีย-โอเชียเนียมานาน แต่ในอีกไม่นานอาจเสียแชมป์ให้กับผู้ผลิตรถ EV โดยเฉพาะผู้ผลิต EV จากจีน ที่ทำยอดกินส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ญี่ปุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ สะท้อนว่าเทรนด์การใช้รถกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และผู้ผลิตญี่ปุ่นต้องเร่งผลิต EV ที่ใช้แบตเตอรี่ 100% ออกมาแข่งหากไม่อยากตกขบวน
จากการรายงานของ Nikkei Asia ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศแถบเอเชีย-โอเชียเนียที่เป็นตลาดสำคัญของรถญี่ปุ่นอย่างไทย อินโดนีเซีย หรือออสเตรเลีย ล้วนแต่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ โดยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเป็นถึง 530,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยในส่วนของประเทศไทย เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าถึง 7,637 คัน คิดเป็น 12.81% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ในไทยเดือนมิถุนายนรวม 59,602 คัน ดันยอดจดทะเบียนครึ่งปีแรกของ 2023 ไปถึง 31,738 คัน หรือ 9% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั่วประเทศ 352,742 คัน
ถึงแม้ 12.81% อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูยังไม่สูงมาก แต่หากเทียบตัวเลขจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ในเดือนมิถุนายนของปีที่แล้วที่อยู่ที่ 1,623 คัน หรือ 0.57% ของยอดรถยนต์จดทะเบียนทั้งหมด จะเห็นได้ว่ายอดรถขึ้นมาถึงประมาณ 36 เท่า ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้หากดูยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งปีของ 2022 ซึ่งอยู่ที่ 9,729 คัน จะพบว่า ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปี ยอดจดทะเบียนของปี 2023 ก็นำหน้ายอดทั้งปีของปี 2022
ในขณะเดียวกัน ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้นเป็น 7,000 คัน หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้งหมดในประเทศในเดือนนั้น ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 15 เท่าจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า
ส่วนอินโดนีเซียที่เป็นตลาดสำคัญอีกแห่ง ก็พบว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นไปถึง 1,000 คัน แต่ยังคิดเป็นเพียง 2% ของยอดขายรถทั้งหมดของประเทศในเดือนนั้น
และในขณะที่ผู้บริโภคในเอเชียหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิตที่ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในแถบนี้ก็คือผู้ผลิต EV จีน โดยเฉพาะ BYD คู่แข่งสำคัญของ Tesla ที่ทำยอดแข่งกันในตลาดเอเชียมาเรื่อยๆ
โดยจากสถิติของกรมขนส่งทางบก รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำยอดขายได้ที่สูงที่สุดในไทยก็คือ BYD Atto3 ที่มียอดจดทะเบียนสูงถึง 11,167 คันในครึ่งปีแรก อันดับที่ 2 คือ Neta V ทีมียอดจดทะเบียน 5,955 คัน ส่วน Tesla ตามมาในอันดับ 3 ที่ 3,638 คัน
ส่วนในออสเตรเลีย Tesla ยังครองตำแหน่งอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60% ตามมาด้วย BYD ที่ได้ส่วนแบ่งตลาดไปประมาณ 20%
จากการรายงานของ Nikkei Asia ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นมากจากการออกนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศด้วยการสนับสนุนด้านภาษี หรือการเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จ
โดยมีการคาดการณ์ว่าในอีกไม่นาน สัดส่วนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต่อรถยนต์ทั้งหมดน่าจะขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับจีนที่ในปัจจุบันมียอดขายอีวีต่อรถยนต์ทั้งหมดถึง 21% แล้ว ซึ่งแน่นอนว่านี่จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ยังคงครองตลาดถึง 40% ในออสเตรเลีย และ 80% ในประเทศไทย
ที่มา: Nikkei Asia