Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Tesla คืนบัลลังก์ ขึ้นที่ 1 ส่งมอบรถ EV สูงสุด  แต่ยอดขาย Q1 ทั้ง Tesla-BYD ร่วงคู่
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

Tesla คืนบัลลังก์ ขึ้นที่ 1 ส่งมอบรถ EV สูงสุด แต่ยอดขาย Q1 ทั้ง Tesla-BYD ร่วงคู่

3 เม.ย. 67
17:17 น.
|
877
แชร์

Tesla คืนบัลลังก์ ทวงตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในไตรมาสแรกของปี 2024 หลังเสียแชมป์ให้กับ BYD ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 แต่ยอดขายร่วงคู่จากความต้องการที่ลดลงทั่วโลกจากสภาพเศรษฐกิจ

จากรายงาน ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมปีนี้ Tesla ส่งมอบรถไปทั้งหมด 386,810 คัน และผลิตรถยนต์ไปได้ทั้งหมด 433,371 คัน พลิกกลับมาชนะคู่แข่งสำคัญอย่าง BYD ที่ส่งมอบไปได้ทั้งหมด 300,114 คัน หลังจากแพ้ไปในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ที่ BYD ส่งมอบไปได้ทั้งหมด 526,409 คัน เทียบกับ Tesla ที่ทำยอดไปได้ 484,507 คัน

ทั้งนี้ ชัยชนะนี้ก็ไม่ได้เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตัวบริษัท Tesla เท่าไหร่นัก เพราะเมื่อเทียบกับยอดส่งมอบในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ผลงานของ Tesla แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด 

ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ยอดส่งมอบรถของ Tesla ลดลง 8.5% เมื่อเทียบกับยอด 422,875 คันในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ลดลงมากกว่า 20% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ลดลงประมาณ 1.7% จากปีก่อนหน้า และ 12.5% จากไตรมาสก่อนหน้า

ตัวเลขที่ออกมานี้พลาดเป้าของนักวิเคราะห์ทุกสำนัก ซึ่งคาดการณ์ว่าในไตรมาสแรก Tesla จะสามารถส่งมอบรถได้อย่างน้อย 431,125 คัน และมากที่สุด 511,000 คัน และกดดันให้ราคาหุ้นของ Tesla ลดลงถึง 4.9% หรือ 166.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ในช่วงการซื้อขายวันที่ 2 เมษายน เวลาสหรัฐ ก่อนจะลดลงเพิ่มอีก 0.14% ในช่วงซื้อขายหลังปิดตลาด

Tesla-BYD ยอดขายลดคู่ ดีมานด์ต่ำ แข่งตัดราคาแล้วยังไม่ได้ผล

ตัวเลขส่งมอบรถที่ลดลงทั้งจาก Tesla และ BYD สะท้อนแนวโน้มดีมานด์ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในจีน ยังซบเซาและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยขณะที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ยอดส่งมอบของ Tesla ลดลงประมาณ 20% จากไตรมาสก่อนหน้า ยอดส่งมอบของ BYD นั้นลดลงถึง 43%

ในช่วงปี 2023 มาถึงต้นปี 2024 ผู้ผลิต EV ทุกค่ายต่างแข่งกันลดราคารถยนต์เพื่อจูงใจลูกค้ากันมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนมีนาคมปีนี้ Tesla ก็เพิ่งประกาศลดราคา Model Y คันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มยอดขาย แต่ก็ไม่ได้ผล อย่างที่สะท้อนในยอดส่งมอบ

นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเจอการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดจีนที่ผู้เล่นทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ต่างลดราคาสินค้า และออกสินค้ามาแข่งขันกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ Xiaomi ผู้เล่นรายใหม่ที่เพิ่งเปิดให้มีการสั่งซื้อ SU7 ซึ่งมีสมรรภภาพใกล้เคียงและเหนือกว่า Tesla ในบางด้าน ในราคาที่ต่ำกว่าราว 30,000 หยวน หรือประมาณ 153,900 บาท

การแข่งขันทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Tesla ที่อดีตเคยเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในจีนลดลง โดยจากข้อมูลของ สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน (China Passenger Car Association: PCA) ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ลดลงจาก 10.5% ในไตรมาสแรกของปี 2023 ลงมาเหลือ 6.7% ในช่วงเดือนธันวาคมของปี 2023 ทำให้ Tesla ต้องลดการผลิตรถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ในโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ และลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานลงจาก 6 วันครึ่งต่อสัปดาห์เป็น 5 วันต่อสัปดาห์

Tesla ผจญมรสุมในไตรมาสแรก ความขัดแย้งกวนการผลิต

ปี 2024 ถือว่าเปิดมาไม่สวยนักสำหรับ Tesla ที่ต้องประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถส่งมอบและผลิตรถให้ได้ตามเป้าได้ ทั้งการแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือดกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และความไม่สงบในโรงงานที่ทำให้ความสามารถในการผลิตสินค้าของ Tesla ลดลง

ในเดือนมกราคม โรงงานของ Tesla ที่เยอรมนี และที่ฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนียต้องระงับการผลิต เพราะกลุ่มฮูตีได้โจมตีเรือขนส่งในทะเลแดงเพื่อกดดันและโต้ตอบอิสราเอล ทำให้การขนส่งชิ้นส่วนผลิตรถยนต์ไปโรงงานที่เยอรมนีต้องหยุดลงชั่วคราว

ในเดือนมีนาคม มีนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจุดไฟเผาโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตไฟฟ้าใกล้โรงงานที่เยอรมนี ทำให้การผลิตที่โรงงานดังกล่าวต้องหยุดชะงักลงเป็นครั้งที่สอง เป็นระยะประมาณ 1 สัปดาห์เพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ในการผลิตอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ สินค้าใหม่อย่าง Cybertruck ที่ออกมาในช่วงปลายปี 2023 ก็แป้กและได้รับเสียงตอบรับไม่ดีนัก ขณะที่โปรแกรมช่วยขับแบบใหม่ที่ Tesla เรียกว่า “Full Self-Driving” ก็ไม่ได้มาช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีคนขับอย่างที่หวัง

หากดูสถานการณ์ในตอนนี้จึงเรียกได้ว่า Tesla กำลังเจอปัญหารอบด้านที่สั่นคลอนความมั่นใจของนักลงทุน ซึ่งอาจทำให้ Tesla ต้องเร่งลดราคา หรือเข็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์เหนือกว่าคู่แข่งออกมาให้ได้เพื่อดึงใจลูกค้าที่มีตัวเลือกราคาถูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

ที่มา: Bloomberg, CNBC, Nikkei Asia



แชร์

Tesla คืนบัลลังก์ ขึ้นที่ 1 ส่งมอบรถ EV สูงสุด  แต่ยอดขาย Q1 ทั้ง Tesla-BYD ร่วงคู่