ธุรกิจการตลาด

Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

13 ก.ค. 67
Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

Dyson บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังระดับโลก ได้ประกาศแผนการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยมีการปลดพนักงานในสหราชอาณาจักรกว่า 1,000 คน ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของพนักงานทั้งหมดในประเทศ การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจาก Dyson เพิ่งรายงานผลประกอบการที่มีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม บริษัทให้เหตุผลว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตและรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโลก

Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

จากรายงานของทาง BBC ระบุว่า Dyson บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ ซึ่งเป็นที่รู้จักจากนวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุง ได้ประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยมีการลดจำนวนพนักงานในสหราชอาณาจักรลงเกือบหนึ่งในสาม หรือประมาณ 1,000 คน จากพนักงานทั้งหมด 3,500 คนในสหราชอาณาจักร บริษัทให้เหตุผลว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตและรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดโลก

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เซอร์ เจมส์ ไดสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท ได้แสดงความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรมาอย่างต่อเนื่อง และได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ในปี 2019 นายฮันโน เคอร์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Dyson กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องมีความคล่องตัวและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก "การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถและทุ่มเทนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง" นายเคอร์เนอร์กล่าว "บริษัทจะให้การสนับสนุนและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้"

Dyson ย้ายฐานวิจัยและพัฒนาออกจากสหราชอาณาจักร ท่ามกลางข้อครหาเรื่องลดต้นทุน

ในปี 2019 Dyson ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ เพื่อให้ใกล้ชิดกับฐานการผลิตและซัพพลายเชนในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สร้างยอดขายมากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัท โดย ไดสันประกาศแผนลงทุนครั้งใหญ่ในสิงคโปร์ มูลค่ากว่า 37,400 ล้านบาท ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็น 30% ของงบลงทุนทั่วโลกที่ตั้งไว้ 4,900 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลแล้ว ไดสันยังเตรียมเปิดรับวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์กว่า 250 ตำแหน่ง เพื่อเสริมทัพธุรกิจหุ่นยนต์ ระบบข้อมูล มอเตอร์ดิจิทัลไฟฟ้าความเร็วสูง และธุรกิจเก็บรักษาพลังงาน

นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และถึงแม้จะย้ายสำนักงานใหญ่ แต่ผลประกอบการของ Dyson พวกเครื่องฟอกอากาศ เครื่องเป่าผม และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีผลกำไรสูง และเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาขึ้น 40% ในปีที่ผ่านมา

เจมส์ ไดสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท ย้ำว่า สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสำคัญของไดสัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิจัยและพัฒนา การบริหารธุรกิจ หรือแม้แต่ฐานปฏิบัติการของเครือข่ายซัพพลายเชน

ปัจจุบัน ไดสันมีพนักงานในสิงคโปร์ 1,400 คน ในจำนวนนี้ 40% เป็นวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมของไดสัน

Dyson ยืนยันว่า การย้ายสำนักงานใหญ่เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องการเมือง และเป็นผลจากการทบทวนสถานการณ์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เซอร์ เจมส์ ไดสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรมาโดยตลอด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องภาษีนิติบุคคลที่สูง โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลในสหราชอาณาจักรได้เพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 25% ในเดือนเมษายนปี 2023 ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจทุกขนาด

โดยทาง Dyson ยังคงยืนยันว่า สหราชอาณาจักรจะยังคงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับการวิจัยและพัฒนาของบริษัท รวมถึงเป็นที่ตั้งของ Dyson Institute ซึ่งมีนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ระดับปริญญาตรี 160 คน

ทั้งนี้ พนักงาน Dyson รายหนึ่งเปิดเผยกับ BBC ว่า ถึงแม้ Dyson จะยังคงมีอาคารวิจัยและพัฒนาในสหราชอาณาจักร แต่พนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาได้ออกจากอาคารของ Dyson ไปแล้ว และคาดการณ์ว่า Dyson อาจจะลดต้นทุนด้วยการจ้างงานบุคลากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน ด้าน Dyson ได้ตอบกลับ BBC ว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

Dyson กับอนาคตที่ไม่แน่นอน

Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

แม้ Dyson จะยืนยันว่าแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้มีการวางแผนล่วงหน้ามาเป็นเวลานานแล้ว แต่ Danni Hewson หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การเงินของบริษัทการลงทุน AJ Bell ชี้ให้เห็นว่ายังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจ Dyson ในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ การลดพนักงานในสหราชอาณาจักรลงหนึ่งในสี่ครั้งนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องตอกย้ำความกังวลดังกล่าว

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อพนักงานที่ต้องตกงานกว่า 300 คน แต่ยังเป็น "ความสูญเสียที่สำคัญ" ต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พรรคแรงงานกำลังผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต การสูญเสียตำแหน่งงานจำนวนมากในภาคอุตสาหกรรมเช่นนี้ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้

นอกจากนี้ การตัดสินใจของ Dyson ยังทำให้เกิดคำถามถึงความเชื่อมั่นของ Sir James Dyson และบริษัท Dyson ในศักยภาพทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในระยะยาว การย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ในปี 2019 และการลดพนักงานในสหราชอาณาจักรครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า Dyson กำลังมองหาโอกาสและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยมากกว่าในภูมิภาคอื่น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายภาษีที่ไม่เอื้ออำนวย สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน หรือการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์

ด้าน Roz Savage สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรค Liberal Democrats ประจำเขต South Cotswolds แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศปลดพนักงานของ Dyson โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน Malmesbury ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน หากพนักงานจำนวนมากต้องตกงาน เธอเชื่อว่าความเดือดร้อนนี้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจโดยรวมของเมือง

Richard Clewer ผู้นำสภา Wiltshire และสมาชิกสภาผู้รับผิดชอบด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อข่าวการปลดพนักงานครั้งนี้ โดยระบุว่าพนักงาน Dyson จำนวนมากอาศัยและทำงานอยู่ใน Wiltshire และสภาจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้

ด้านศาสตราจารย์ Andrew Graves ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องกลและนักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Bath ให้ความเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับการประกาศลดพนักงานของ Dyson และ "ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว"

"สถานการณ์การแข่งขันในตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วโลกมีความรุนแรงสูง และผลิตภัณฑ์ของ Dyson หลายรายการก็ไม่ประสบความสำเร็จในระยะหลัง" ท่านกล่าว

"บริษัทได้ทุ่มงบประมาณจำนวนสองพันล้านปอนด์เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าใน Hullavington แต่โครงการดังกล่าวก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วเมื่อบริษัทตระหนักว่ามีความท้าทายมากเกินไป นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ บางรายการก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในตลาด ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน" ศาสตราจารย์ Graves กล่าวเสริมว่า "นี่เป็นมาตรการลดต้นทุนครั้งใหญ่" และหากมีการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเมือง Malmesbury

เจมส์ ไดสัน ยังคงมีทรัพยากรมากพอในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ

Dyson ปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 1,000 คน แม้บริษัทมีผลกำไรสูงมากก็ตาม

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 บริษัท Dyson ได้ลดพนักงานในสหราชอาณาจักรไป 600 ตำแหน่ง และลดพนักงานทั่วโลกอีก 300 ตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ผู้คนหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายของ Dyson ที่มีหน้าร้านเป็นหลัก

เซอร์ เจมส์ ไดสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท Dyson เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 5 ใน Sunday Times Rich List ด้วยมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัว 20.8 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 8.6 แสนล้านบาท) ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของ Dyson ในฐานะบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลก แม้จะมีการปลดพนักงานในช่วงโควิด-19 แต่ Dyson ยังคงมีผลประกอบการที่ดีและมีทรัพยากรเพียงพอในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เป็นที่เข้าใจกันว่าการตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางการเมือง แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

เซอร์ เจมส์ เป็นผู้สนับสนุน Brexit อย่างแข็งขัน โดยกล่าวว่า Brexit ได้คืน "อิสรภาพทางจิตวิญญาณ" ให้กับสหราชอาณาจักร ทำให้ประเทศสามารถกำหนดนโยบายและตัดสินใจทางเศรษฐกิจได้อย่างอิสระมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ในปี 2019 และการลดพนักงานในสหราชอาณาจักรครั้งนี้อาจทำให้เกิดคำถามถึงความมั่นใจของเขาในอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาได้บริจาคเงิน 6 ล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนโรงเรียนประถมศึกษา Malmesbury ซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งของโรงงาน Dyson ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ เขายังประกาศแผนการลงทุน 100 ล้านปอนด์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ในใจกลางเมือง Bristol ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Dyson ในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ แม้จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรในสหราชอาณาจักรก็ตาม

สำหรับการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ Dyson ในสหราชอาณาจักรครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต้องเผชิญในยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของตลาด และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน แม้ Dyson จะยืนยันว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพนักงานและเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร อนาคตของ Dyson ในสหราชอาณาจักรจะเป็นอย่างไร และบริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา BBC

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT