ทุเรียนไทยยังคงครองตำแหน่งราชาแห่งผลไม้ส่งออก ด้วยมูลค่าการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดจีนที่ความต้องการทุเรียนไทยยังคงมีอยู่อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม ตลาดทุเรียนโลกก็มิได้ราบรื่นเสมอไป เมื่อคู่แข่งอย่างเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และจีนเองก็เริ่มปลูกทุเรียนเป็นของตนเอง
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทุเรียนไทย ตลาดส่งออกหลัก โอกาสในการเติบโต ตลอดจนความท้าทายและกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการไทยควรนำมาปรับใช้ เพื่อรักษาความเป็นหนึ่งในตลาดทุเรียนโลกที่กำลังแข่งขันกันดุเดือด
ทุเรียนไทยครองแชมป์ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แต่คู่แข่งเริ่มหายใจรดต้นคอ
จากข้อมูล KBank ประจำปี 2566 ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงรักษาสถานะผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าการส่งออกกว่า 4,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ใน 5 เดือนแรกปี 67 ส่งออกแล้วกว่า 9.5 แสนตัน มูลค่ากว่า 2,294.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ซึ่งแม้จะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วกว่า 7 เท่าตัวในปีเดียว แต่ก็ยังมีมูลค่าการส่งออกรวมน้อยกว่าไทยมาก
4 ประเทศที่ส่งออกทุเรียนมากที่สุดในโลก
ประเทศ | 2565 (หน่วย พันล้านดอลลาร์) | 2566 (หน่วย พันล้านดอลลาร์) |
ไทย | 3,148,437 | 4,055,671 |
เวียดนาม | 287,239 | 2,181,629 |
จีน | 448,450 | 350,631 |
มาเลเซีย | 34,510 | 44,495 |
ปัจจัยที่ผลักดันให้ทุเรียนไทยยังคงครองบัลลังก์ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก
ทุเรียนสดไทยยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำตลาดส่งออกผลไม้โลก โดยมีสัดส่วนการส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จนี้มีหลากหลายมิติ ดังนี้
- ความต้องการบริโภคทุเรียนในตลาดจีนที่เพิ่มสูงขึ้นตามความนิยม ตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกหลักของทุเรียนไทย มีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากนิยมรสชาติเฉพาะตัวของทุเรียนไทย ทั้งความหวาน หอม มัน และเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม ความนิยมนี้ยังได้รับการส่งเสริมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทำให้ทุเรียนไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
- ปริมาณผลผลิตทุเรียนภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามการขยายพื้นที่เพาะปลูก เกษตรกรไทยได้ขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ภาคเกษตรได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลผลิต เช่น การจัดการสวน การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช
ตลาดส่งออกทุเรียนไทย ปี 2566 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อันดับ | ประเทศ | มูลค่าการส่งออก |
1 | จีน | 2,239.12 |
2 | ฮ่องกง | 32.13 |
3 | เกาหลีใต้ | 5.98 |
4 | ไต้หวัน | 4.23 |
5 | สิงคโปร์ | 3.7 |
นอกจากปัจจัยหลักดังกล่าว ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมทุเรียนไทย ได้แก่
- การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงทุเรียนไทยได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์ เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์ของผู้ผลิต และโซเชียลมีเดีย หรือช่องทางออฟไลน์ เช่น ตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าปลีกต่างๆ
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่งทุเรียนไปยังตลาดจีน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมอื่นๆ เช่น ถนนและทางหลวง เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งทุเรียนจากแหล่งผลิตไปยังจุดต่างๆ ทั่วประเทศ
ด้วยปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ ทุเรียนไทยจึงไม่เพียงแต่สามารถครองตำแหน่งผู้นำตลาดส่งออกได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการบริโภคทุเรียนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ตลาดส่งออกหลักและโอกาสส่งออกทุเรียนไทย
จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกทุเรียนที่สำคัญที่สุดของไทย ด้วยมูลค่าการนำเข้ากว่า 2,239 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไต้หวัน ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการตลาดกับประเทศเหล่านี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ
ความท้าทายและกลยุทธ์รับมือ
จีนซึ่งเป็นตลาดหลักของทุเรียนไทย กำลังเริ่มปลูกทุเรียนเองในมณฑลไหหลำ คาดว่าผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในปี 2567 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการนำเข้าทุเรียนจากไทยในอนาคต นอกจากนี้ เวียดนามก็เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีศักยภาพในการผลิตทุเรียนคุณภาพดีในราคาที่แข่งขันได้ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนใหม่ๆ ที่มีรสชาติและลักษณะเฉพาะตัว เช่น ทุเรียนที่มีเนื้อสีทอง หรือทุเรียนที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การควบคุมคุณภาพการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล และการสร้างแบรนด์ทุเรียนไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ในขณะที่ทุเรียนไทยยังคงครองบัลลังก์ราชาแห่งการส่งออก แต่การรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการปรับตัวของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การรักษาคุณภาพ และการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ทุเรียนไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และสามารถเอาชนะความท้าทายจากคู่แข่งที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้ อนาคตของทุเรียนไทยยังคงสดใส หากเราร่วมมือกันเพื่อรักษามาตรฐานและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
ที่มา K SME