ธุรกิจการตลาด

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

17 ก.ค. 67
ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความผันผวนและไม่แน่นอน ทองคำได้รับความนิยมในฐานะเครื่องประดับและสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับการลงทุน ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมทองคำทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของโลก อุตสาหกรรมทองคำยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งในด้านการแข่งขัน การบริหารต้นทุน และการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสถานการณ์ทองคำในตลาดโลกและในประเทศไทยอย่างละเอียด รวมถึงโอกาสและความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้ธุรกิจทองคำไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคแห่งความท้าทายนี้

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ทองคำมาแรง! เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ความไม่แน่นอนเป็นปัจจัยสำคัญ "ทองคำ" ยังคงดำรงสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven Asset) ที่มีบทบาทในการเป็นหลักประกันและสะสมความมั่งคั่ง มูลค่าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของทองคำเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับประเทศ สถาบัน ไปจนถึงนักลงทุนรายย่อย ต่างแสดงความต้องการครอบครองทองคำ โดยมีวัตถุประสงค์ในการถือครองที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การลงทุนในสินทรัพย์ ไปจนถึงการใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับและเทคโนโลยี

แล้วสถานการณ์ทองคำทั่วโลกเป็นอย่างไร?

ภาพรวมสถานการณ์ทองคำในตลาดโลกสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทองคำรวมที่ประมาณ 4,000 ตันต่อปี โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นความต้องการทองรูปพรรณและเครื่องประดับ ในปี 2023 ความต้องการทองคำรวมอยู่ที่ 4,500 ตัน โดยแบ่งเป็นความต้องการทองรูปพรรณและเครื่องประดับ 49% การถือครองของธนาคารกลางทั่วโลก 23% และการลงทุน 21% ส่วนที่เหลืออีก 7% เป็นความต้องการทองคำเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน เป็น 6 ประเทศที่มีปริมาณการถือครองทองคำสูงสุด โดยคิดเป็น 58% ของปริมาณการถือครองทองคำทั่วโลก

สถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือภาวะสงคราม ล้วนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของหลายประเทศ และเป็นปัจจัยท้าทายต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราการถือครองทองคำโดยธนาคารกลาง ซึ่งสอดคล้องกับดัชนี Economic Policy Uncertainty (EPU) ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกับการถือครองทองคำในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ในปี 2022 ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำ

 ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

หมายเหตุ : * ปี 2020 อุปสงค์การถือครองทองคำในรูปแบบเครื่องประดับลดลง จากการระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะการถือครองจากชาวจีน ขณะเดียวกัน มีการถือครองทองคำเพื่อการลงทุนจากกองทุนเพิ่มมากขึ้น ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ World Gold Council

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

 ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

สำหรับการถือครองทองคำในระดับบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการถือครองทองคำในรูปแบบทองรูปพรรณ เครื่องประดับที่มีทองคำเป็นส่วนประกอบ ทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ จะพบว่า ชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง และสวิตเซอร์แลนด์ มีปริมาณการถือครองทองคำต่อประชากรสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก โดยนอกจากความมั่งคั่งของประชากรในประเทศเหล่านี้จะเป็นปัจจัยหนุนให้ประชากรถือครองทองคำในระดับสูงแล้ว การมีบทบาทเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการสกัดทองคำของโลกของประเทศเหล่านี้ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ประชากรถือครองทองคำด้วยเช่นกัน

การผลิตทองคำทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างจำกัด

การผลิตทองคำทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างจำกัด โดยในปี 2565 มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 3,632 ตัน โดยประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ จีน รัสเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งมีสัดส่วนการผลิต 10.3%, 8.9% และ 8.7% ตามลำดับ นอกจากนี้ แหล่งผลิตสำคัญในทวีปแอฟริกา เช่น กานา มาลี เบอร์กินาฟาโซ แอฟริกาใต้ และซูดาน มีสัดส่วนการผลิตรวมกันประมาณ 14%

ในปี 2566 ปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลกทรงตัวที่ 3,636 ตัน ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การผลิตทองคำทั่วโลกขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.3% ต่อปี เนื่องจากการผลิตของจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2567 การผลิตทองคำกลับขยายตัว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยการขยายตัวส่วนใหญ่มาจากเหมืองทองในแอฟริกาและเอเชีย

นอกจากนี้ ปริมาณการรีไซเคิลทองคำก็เพิ่มขึ้น 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในจีนและเอเชียตะวันออก เนื่องจากผู้บริโภคขายคืนทองคำในช่วงที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และเริ่มแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2567

ด้านห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทย

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทยประกอบด้วยกระบวนการตั้งแต่การทำเหมืองแร่ทองคำ การสกัดให้เป็นทองคำบริสุทธิ์ และการหลอมเป็นแท่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุปทานทองคำในประเทศส่วนใหญ่มาจากการรีไซเคิลทองคำที่มีอยู่แล้ว และการนำเข้าทองคำบริสุทธิ์ที่ผ่านกระบวนการสกัดจากโรงงานในต่างประเทศ ซึ่งทองคำเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท เช่น ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ เหรียญกษาปณ์ เครื่องประดับ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอื่นๆ ที่มีทองคำเป็นส่วนประกอบ

ในอดีต ประเทศไทยเคยมีกำลังการผลิตทองคำได้ปีละ 3-5 ตัน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของปริมาณการผลิตทองคำทั่วโลก ปัจจุบันพื้นที่ทำเหมืองทองคำที่ได้รับประทานบัตรและยังไม่หมดอายุมีทั้งหมด 4,706 ไร่ กระจุกตัวอยู่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร เลย และเพชรบูรณ์ โดยมีสัดส่วนพื้นที่ 46.0%, 27.4% และ 26.6% ตามลำดับ

แม้ว่าโรงงานสกัดทองคำในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และสามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ถึง 99.9% แต่ทองคำบางส่วนยังคงต้องส่งออกไปสกัดยังโรงงานในต่างประเทศเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน LBMA Good Delivery ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีโรงงานสกัดทองคำที่เป็นสมาชิก LBMA เนื่องจากข้อกำหนดด้านกำลังการผลิตที่กำหนดไว้ว่าต้องผลิตทองคำได้ไม่ต่ำกว่า 10 ตันต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีกำลังการผลิตเพียง 3-5 ตันต่อปีเท่านั้น

การส่งออกทองคำของไทยกว่าครึ่งหนึ่งมุ่งหน้าสู่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสกัดทองคำที่สำคัญของโลก จากนั้นทองคำบริสุทธิ์จะถูกนำเข้ากลับมายังประเทศไทยเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายสำหรับจำหน่ายในประเทศและส่งออกอีกครั้ง โดยมีฮ่องกงและสิงคโปร์เป็นคู่ค้าหลักในการนำเข้าและส่งออกทองคำของไทย

การสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจทองคำของไทย

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ภาคธุรกิจทองคำของประเทศไทยมีการสร้างมูลค่าเพิ่มหลักจากการผลิตสินค้าขั้นปลาย แม้ว่าโรงงานสกัดทองคำภายในประเทศจะมีศักยภาพในการสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% แต่ทองคำบางส่วนยังคงถูกส่งออกไปยังโรงงานสกัดในต่างประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลก่อนที่จะนำกลับมาผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายในประเทศ อาทิ เครื่องประดับ ทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ เพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ

นอกเหนือจากภาคการผลิต ธุรกิจค้าทองคำมีบทบาทสำคัญในการเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขาย การลงทุน การออมทอง การรับจำนำ และการรับขายฝากทอง ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการค้าทองคำประมาณ 9,700 ราย แบ่งเป็นผู้ค้าทองคำรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก โดยผู้ค้าทองคำรายใหญ่ประมาณ 300 ราย ซึ่งมีรายได้มากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ครองสัดส่วนรายได้กว่า 93% ของตลาด

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ผู้ค้าทองคำรายใหญ่มีรูปแบบการสร้างรายได้ที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายทองคำเป็นหน่วยย่อย การลงทุนและออมทอง การรับจำนำและรับขายฝากทอง รวมถึงการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง จุดแข็งของผู้ค้าทองคำรายใหญ่คือความน่าเชื่อถือ มาตรฐานทองคำ การรับประกันราคา และการรับซื้อคืนทองคำในราคาสูง ซึ่งส่งผลให้มีฐานลูกค้าจำนวนมากทั้งรายย่อยและนักลงทุน ในขณะที่ผู้ค้าทองคำรายกลางและรายเล็กส่วนใหญ่มักเป็นร้านทองในท้องถิ่นที่ให้บริการจำกัด

แม้ว่ารายได้รวมของธุรกิจค้าทองคำในประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ค้าทองคำต้องเผชิญกับความท้าทายจากต้นทุนขายที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรลดลง ในช่วงปี 2019-2022 รายได้ของธุรกิจค้าทองคำขยายตัวเฉลี่ย 17% ต่อปี ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า นอกจากนี้ ค่ากำเหน็จทองรูปพรรณที่ผู้ค้าทองคำใช้ในการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้ซื้อและกำหนดอัตรากำไรมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ไม่มากนักเนื่องจากการแข่งขันสูงในตลาด

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าทองคำโดยรวมยังคงมีสภาพคล่องสูง โดยมีอัตราส่วนสภาพคล่องเฉลี่ยประมาณ 2% และปริมาณการซื้อขายทองคำที่หมุนเวียนในตลาดจากทั้งผู้บริโภคและนักลงทุนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจค้าทองคำ

ภาพรวมอุตสาหกรรมทองคำไทย โอกาสและความท้าทาย

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ผู้ประกอบการค้าทองคำรายกลางและรายเล็กในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการขยายฐานลูกค้าและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เทียบเท่าผู้ประกอบการรายใหญ่ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ประกอบการบางรายตัดสินใจยุติกิจการ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 จำนวนธุรกิจค้าทองที่จดทะเบียนเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3 ล้านบาท

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของรายได้รวมในอุตสาหกรรมค้าทองคำของไทยยังคงดึงดูดผู้ประกอบการรายใหม่ สะท้อนจากจำนวนธุรกิจค้าทองที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ที่เพิ่มขึ้น 12% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ความต้องการทองคำของผู้บริโภคไทยยังคงเติบโต

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

ความนิยมในการถือครองทองคำของผู้บริโภคชาวไทย ทั้งในรูปแบบเครื่องประดับและการลงทุน ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตและค้าทองคำ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า มูลค่าตลาดทองคำในประเทศที่ถือครองโดยผู้บริโภคในปี 2566 จะสูงถึง 91,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 66,000 ล้านบาทในปี 2564 ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญประกอบด้วยราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ปริมาณการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนการถือครองทองคำต่อประชากรที่สูงขึ้น

ผลสำรวจ SCB EIC Consumer Survey 2566 ชี้ให้เห็นว่า กลุ่ม Gen X เป็นกลุ่มที่มีการลงทุนในทองคำมากที่สุด คิดเป็น 51% รองลงมาคือกลุ่ม Gen Y ที่ 34% นอกจากนี้ ทั้งสองกลุ่มยังแสดงความสนใจในการลงทุนเพิ่มเติมในทองคำมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่ม Gen X และ Gen Y ในฐานะนักลงทุนทองคำหลัก

เมื่อพิจารณาจากกลุ่มที่สนใจลงทุนเพิ่มเติมในทองคำตามระดับรายได้ พบว่ากลุ่มที่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนลงมามีความสนใจในการลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น นี่เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการค้าทองคำรายกลางและรายเล็กในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะการนำเสนอบริการลงทุนทองคำที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลางลงมา เช่น การเปิดบัญชีจำหน่ายทองคำในหน่วยย่อย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถทยอยลงทุนได้ตามกำลังทรัพย์และสะสมรับเป็นทองคำเมื่อถึงน้ำหนักที่กำหนด

ทองคำมาแรง เจาะลึกตลาดทองคำไทย  ทิศทางราคา และโอกาสทางธุรกิจ

กลยุทธ์เสริมแกร่งธุรกิจทองคำไทยในยุคความท้าทาย

ในฐานะผู้ผลิตและผู้ค้าทองคำขั้นปลายที่มีบทบาทสำคัญในตลาดโลก ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทยจำเป็นต้องปรับตัวและวางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

  • การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนโรงงานสกัดทองคำที่ได้มาตรฐานสากล ผู้ประกอบการจึงต้องส่งออกทองคำดิบไปยังต่างประเทศเพื่อสกัดให้ได้ความบริสุทธิ์ตามเกณฑ์ ก่อนนำกลับเข้ามาผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายในประเทศ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการส่งออกและนำเข้าทองคำดังกล่าวถือเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งของการผลิต นอกจากนี้ ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ผู้ประกอบการจึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการต้นทุนราคาทองคำ การจัดการสต็อกวัตถุดิบ และการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
  • การเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์: ภาวะสงคราม การแพร่ระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ หรือปัญหาการขนส่ง ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทองคำโลก ทำให้ราคาทองคำผันผวนอย่างรุนแรง หรืออาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนทองคำได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมุ่งสร้างความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานทองคำของไทย โดยกระจายแหล่งที่มาของทองคำ ทั้งจากการรีไซเคิลทองคำภายในประเทศและการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศอย่างเหมาะสม
  • การสร้างมูลค่าเพิ่มและการขยายฐานลูกค้า: เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ทองคำ อาทิ การออกแบบที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ การนำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง นอกจากนี้ การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆ เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง หรือกลุ่มนักลงทุนที่มองหาทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุน ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

กลยุทธ์เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจทองคำไทย มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและการขยายฐานลูกค้า

ผู้ผลิตเครื่องประดับทองคำไทยมีโอกาสเติบโตอย่างมาก หากมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ การออกแบบลวดลายที่โดดเด่นและประณีต จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ซื้อทองเพื่อสะท้อนความมั่งคั่งและเก็บสะสม ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการออกแบบเครื่องประดับที่ทันสมัย สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้เริ่มประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีกำลังซื้อสูง การร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นต่างๆ เพื่อสร้างคอลเลคชั่นพิเศษ หรือผลิตสินค้าที่กำลังเป็นกระแส ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่สนใจแฟชั่น

ในส่วนของการขยายฐานลูกค้า ผู้ผลิตควรให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศ โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อใหม่ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้เติบโตก้าวกระโดด และต้องการสะสมสินทรัพย์เพื่ออนาคต สำหรับตลาดต่างประเทศ ควรเน้นกลุ่มลูกค้าที่นิยมเครื่องประดับทองจากไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการถือครองทองคำต่อหัวสูง เช่น ชาวตะวันออกกลาง (คูเวต, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และฮ่องกง โดยออกแบบเครื่องประดับที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มนี้ โดยในปี 2022 นักท่องเที่ยวจากคูเวต, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮ่องกง มีค่าใช้จ่ายด้านช้อปปิ้งโดยเฉลี่ยต่อหัวสูงถึง 13,860 บาท, 11,122 บาท, 8,594 บาท และ 19,624 บาท ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมที่ 7,933 บาท

สำหรับผู้ค้าทองรายใหญ่ การร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อขยายบริการด้านการซื้อขายและลงทุนทองคำ การขายทองผ่าน E-wallet เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า การทำการตลาดในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการซื้อในสาขาที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก และการร่วมมือกับธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจนำเที่ยวและร้านขายของที่ระลึก เพื่อขยายช่องทางการขาย ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผู้ผลิตและผู้ค้าทองคำไทยสามารถยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้

กลยุทธ์เสริมศักยภาพธุรกิจทองคำ มุมมองสำหรับผู้ค้ารายกลางและรายย่อย

นอกเหนือจากการขยายช่องทางการจำหน่ายเครื่องประดับทองคำไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพแล้ว ผู้ค้าทองคำรายกลางและรายย่อยยังสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อรับมือกับความท้าทายและสภาวะการแข่งขันในตลาด

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าพิจารณาคือการขยายบริการการออมทอง และการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากบริการอื่นๆ เช่น รับขายฝาก, รับซ่อมทอง, ชุบทอง การพัฒนาทักษะของช่างทอง หรือการสร้างความร่วมมือกับช่างทองที่มีความเชี่ยวชาญ จะเป็นการสร้างจุดแข็งและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้

ในช่วงที่ปริมาณการซื้อขายทองคำชะลอตัว ผู้ค้ารายกลางและรายย่อยสามารถกระตุ้นยอดขายด้วยการเปิดให้บริการซื้อขายทองคำผ่านโปรแกรมการออมทอง หรือการแบ่งขายทองคำน้ำหนักย่อยเป็นกรัมหรือมิลลิกรัม ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ซื้อรายย่อยและนักลงทุนที่ไม่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้ค้ารายใหญ่ได้ การมีหน้าร้านในพื้นที่ยังเป็นปัจจัยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโปรแกรมการออมทอง อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการบัญชีซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพและมีทองคำพร้อมส่งมอบเมื่อลูกค้าประสงค์ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

การปรับปรุงและพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายทองคำออนไลน์ให้มีความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันการซื้อขายทองคำผ่านช่องทางออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการฉ้อโกง ผู้ค้าทองรายใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มให้มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่

สำหรับการส่งเสริมอุปสงค์จากการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก็เป็นอีกโอกาสหนึ่ง เนื่องจากทองคำเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หากภาครัฐให้การสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ก็จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ทองคำในภาคการผลิตได้ ด้วยการปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ๆ ผู้ค้าทองรายกลางและรายย่อยสามารถเอาชนะความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

สรุปในภาพรวม อุตสาหกรรมทองคำของไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ การขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการเตรียมความพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมทองคำไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT