เอสซีจีประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนกระแสเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสก่อนหน้า บริษัทมุ่งมั่นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน พร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ
SCG กำไรพุ่งแรง! โตสวนกระแสเศรษฐกิจ Q2/67 ทำกำไร 3,708 ล้านบาท
เอสซีจีประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายและผลกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามและอินโดนีเซีย บริษัทมุ่งมั่นเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
สำหรับแนวทางดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของ เอสซีจี ประกอบด้วย การเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทน การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การมุ่งเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการพัฒนาโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วภูมิภาคอาเซียน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำเพื่อจำหน่ายในตลาดโลก นอกจากนี้ โครงการปิโตรเคมีในเวียดนามมีกำหนดการทดสอบการเดินเครื่องโรงงานภายในเดือนกันยายนนี้
เอสซีจีโตต่อเนื่อง กำไรไตรมาส 2 พุ่ง 53%
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ว่าปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ด้วยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนามและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้เงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ส่งผลให้มีรายได้รวม 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสก่อนหน้า สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 เอสซีจีมีรายได้รวม 252,461 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนยอดขายจากธุรกิจต่างๆ ดังนี้ เอสซีจี เคมิคอลส์ 39%, เอสซีจีพี 27%, เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน 16%, เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงและเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล 13% และเอสซีจี เดคคอร์ 5%
ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 2 ปี 2567: ภาพรวมเติบโต แต่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ยังคงขาดทุน
- เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC): รายได้ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อนและ 8% จากปีก่อน เป็น 52,491 ล้านบาท แต่ยังคงขาดทุน 1,241 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นจากไตรมาสก่อน 33% แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,982 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายโครงการลองเซินและการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้เพิ่มขึ้น 2% แต่ขาดทุนลดลง 5,204 ล้านบาท
- เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน: รายได้ไตรมาส 2 ลดลง 7% จากทั้งไตรมาสก่อนและปีก่อน เป็น 19,831 ล้านบาท กำไรลดลง 35% จากไตรมาสก่อน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศที่หดตัว ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้ลดลง 7% แต่กำไรเพิ่มขึ้น 24% จากการบริหารต้นทุน
- เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล: รายได้ไตรมาส 2 ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน และ 5% จากปีก่อน เป็น 35,266 ล้านบาท กำไรใกล้เคียงไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 81% จากปีก่อน ท่ามกลางตลาดที่หดตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและการปล่อยกู้ที่เข้มงวดของธนาคาร ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้ลดลง 4% แต่กำไรเพิ่มขึ้น 62%
- เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD): ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 SCGD มีรายได้จากการขาย 13,350 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 167%
- เอสซีจีพี (SCGP): ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 SCGP มีรายได้จากการขาย 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17%
สรุปภาพรวม เอสซีจีมีผลประกอบการไตรมาส 2 ที่เติบโต แต่ผลประกอบการครึ่งปีแรกยังคงได้รับผลกระทบจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงภาวะตลาดในประเทศที่ยังคงมีความท้าทาย
SCG เดินหน้าเสริมศักยภาพธุรกิจ เพิ่มความคล่องตัวรับมือทุกสถานการณ์
เอสซีจีเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีโลกที่อยู่ในช่วงขาลง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้าจากจีน และเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานด้วย 5 กลยุทธ์หลัก:
- การบริหารต้นทุนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ: ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้สูงถึง 47%
- การมุ่งเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง: ผลักดันธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับที่อยู่อาศัย โรงงาน และนิคมอุตสาหกรรม
- การปรับปรุงระบบโลจิสติกส์: นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการวางแผนการจัดส่งและตรวจรับสินค้า ช่วยลดระยะเวลา ลดความเสียหาย และลดความผิดพลาดในการรับ-ส่ง
- การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: เอสซีจี เคมิคอลส์ใช้โซลูชัน AI จาก REPCO NEX ในการดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุงอย่างแม่นยำ ส่งผลให้เครื่องจักรมีเสถียรภาพสูงถึง 100%
- การมุ่งส่งมอบโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า: พัฒนา CPAC รถโม่เล็ก ขนาดกะทัดรัด สำหรับงานก่อสร้างในพื้นที่จำกัด ช่วยให้สามารถบริหารจัดการปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการสูญเสีย
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เอสซีจีประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) มียอดขาย 38,690 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของยอดขายรวม นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) มียอดขาย 77,037 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายรวม และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice มียอดขาย 136,124 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของยอดขายรวม นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการส่งออกจากประเทศไทย มียอดขาย 111,367 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม
เอสซีจีพร้อมรับมือความท้าทายเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปี 2567 ยังคงมีความท้าทาย แต่เอสซีจีมีความพร้อมในการรับมือด้วยความคล่องตัวและมั่นคง ด้วยเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหารกว่า 78,907 ล้านบาท รวมถึงนวัตกรรมโซลูชันที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร สำหรับกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และการก่อสร้าง ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอินโดนีเซีย รวมถึงเมืองหลวงใหม่ 'นูซันตารา' และการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของรัฐบาลเวียดนาม ขณะที่การฟื้นตัวของตลาดในประเทศไทยยังคงชะลอตัว
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน เดินหน้าผลักดันปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำเจเนอเรชัน 2 ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 15-20% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ทั่วไป โดยขยายตลาดสู่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจนสามารถส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาได้มากกว่า 1 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว 'SCG Low Carbon Super Cement' ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำเป็นรายแรกในเวียดนาม ขณะที่ตลาดในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนการใช้ทดแทนปูนซีเมนต์แบบเดิมมากกว่า 86% นอกจากนี้ เอสซีจียังได้พัฒนาปูนซีเมนต์หลากหลายรุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ เช่น แบรนด์ '5 STAR' ในกัมพูชา, 'BEZT' ในอินโดนีเซีย, 'ADAMAX' ในเวียดนาม และ 'แรด' ในไทย
เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล มุ่งขยายธุรกิจค้าปลีกในอาเซียน โดยมีร้านค้ากว่า 87 สาขา ในช่วงครึ่งปีแรกได้ขยายสาขาของ 'Mitra10' ซึ่งเป็นโมเดิร์นเทรดที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย เพิ่มอีก 2 สาขาบนเกาะสุมาตราและเกาะชวาตะวันตก รองรับลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน โดยตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 100 สาขาภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 50 สาขา
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง นำเสนอนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ที่โดดเด่น อาทิ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น เอสซีจี ที่สามารถออกแบบลวดลายเฉพาะตัวได้ เช่น ลายดอกโบตั๋นสำหรับทางเท้าย่านเยาวราช นอกจากนี้ ยังเปิดตัว ONNEX by SCG Smart Living นวัตกรรมระบบบำบัดอากาศเสียสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก เจาะกลุ่มลูกค้างานอาคารและสำนักงานที่มีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า 3,500 ตร.ม. พร้อมขยายบริการครอบคลุมอาเซียนและตะวันออกกลาง
เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เดินหน้าแผนการเติบโต 2 เท่าภายในปี 2573 ด้วยการเริ่มผลิตแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO ที่โรงงานแห่งใหม่ กำลังผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดกว่า 500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง กลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน 3 โครงการใหญ่ในเวียดนามและไทย
SCG International ร่วมทุนกับบริษัทบิ๊กบล็อก คอนสตรัคชั่น จำกัด ขยายตลาดวัสดุก่อสร้างสู่ประเทศอินเดีย เปิดโรงงานแผ่นผนังมวลเบา (AAC Walls) ภายใต้แบรนด์ 'ZMARTBUILD WALL by NXTBLOC' แห่งแรกในรัฐคุชราต ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ผลักดัน SCGC GREEN POLYMERTM สู่ตลาดที่มีความต้องการสูง เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ Dow พัฒนาธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกครบวงจรเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกกว่า 200,000 ตันต่อปีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนที่มีมูลค่าภายในปี 2573 โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) กลับมาเดินเครื่องทดสอบทั้งโรงงานขั้นต้นและขั้นปลายในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 และมีแผนจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567 เอสซีจีพี (SCGP) มุ่งขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ พร้อมทั้งบริหารจัดการวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด SCGP ได้เข้าลงทุนในบริษัท วีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการผลิตสินค้าของ Deltalab, S.L. และ Bicappa Lab S.r.L. ในเครือ SCGP เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ
ด้านธุรกิจน้องใหม่ เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เติบโตตามแผนที่วางไว้ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 522 เมกะวัตต์ และล่าสุดได้ลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้า Solar Rooftop ขนาด 20.96 เมกะวัตต์กับซีเกท ประเทศไทย สำหรับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด Rondo Heat Battery กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่โรงงานปูนซีเมนต์เอสซีจี จังหวัดสระบุรี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2568 ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป
เอสซีจี เดินหน้าโครงการ Go Together หนุน SMEs ไทย พร้อมส่งเสริมการศึกษาเพื่ออาชีพ
นายธรรมศักดิ์ กล่าวสรุปว่า "เอสซีจีตระหนักถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง จึงร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี จัดทำโครงการ Go Together เพื่อเสริมสร้างความรู้และเครือข่ายให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเริ่มต้นที่โรงงานสระบุรี และจะขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีโรงงานของเอสซีจีตั้งอยู่ เช่น กาญจนบุรี ลำปาง ขอนแก่น และนครศรีธรรมราช เป็นต้น โครงการนี้มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีมาใช้ ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าของเหลือใช้ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก"
นอกจากนี้ มูลนิธิเอสซีจี ยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมแนวคิด LEARN to EARN หรือ "เรียนรู้เพื่ออยู่รอด" โดยเน้นการเรียนรู้เพื่อให้มีงานทำ มอบทุนการศึกษาประมาณ 3,000 ทุนต่อปีให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งในและนอกระบบการศึกษา ในสาขาที่ตลาดมีความต้องการ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เป็นต้น โดยผู้ที่ได้รับทุนกว่า 90% สามารถหางานทำได้หลังจากสำเร็จการศึกษา
ในส่วนของผลตอบแทนผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวม 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 สิงหาคม 2567 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 7 สิงหาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) 8 สิงหาคม 2567
เอสซีจี ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนานวัตกรรม การขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าต่อไป