นิสสัน มอเตอร์ แบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากญี่ปุ่น กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุด (เมษายน-มิถุนายน 2567) ระบุว่ากำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 99% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์
นิสสัน วิกฤต กำไรร่วงหนักถึง 99% ! ตลาดรถสหรัฐฯ ฉุดยอดขายทรุด
นิสสัน มอเตอร์ เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส (เมษายน-มิถุนายน) พบว่า กำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างรุนแรงถึง 99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยสำคัญมาจากยอดขายที่ต่ำกว่าเป้าหมายในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการขาดรถยนต์ไฮบริดในกลุ่มผลิตภัณฑ์
จากรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กำไรจากการดำเนินงานของนิสสันในไตรมาสนี้ อยู่ที่ 995 ล้านเยน (ประมาณ 6.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และบริษัท ยังได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของกำไรสำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568 โดยคาดว่าจะลดลง 12% เหลือ 500,000 ล้านเยน
โดยกำไรสุทธิของนิสสันในช่วงเมษายน-มิถุนายน ลดลง 73% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือเพียง 28,500 ล้านเยน
ด้านมาโคโตะ อุชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน กล่าวในการประชุมออนไลน์ว่า สถานการณ์สินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ประกอบกับยอดขายที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้บริษัทต้องเพิ่มงบประมาณในการกระตุ้นยอดขาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของนิสสันที่ปรับตัวลดลงถึง 11% หลังจากการประกาศผลประกอบการ
อะไรทำให้ นิสสัน กำไรดิ่งเหว
สำหรับปัญหาของนิสสันส่วนใหญ่มาจากอุปสรรคในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการส่งเสริมการขายส่งผลกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานถึง 110,400 ล้านเยน ซึ่งมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากค่าเงินเยนอ่อนตัวถึง 23,700 ล้านเยน
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ของนิสสันในสหรัฐฯ ในช่วงเมษายน-มิถุนายน ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือเพียง 230,000 คัน ในขณะที่ยอดขายของโตโยต้า มอเตอร์ และฮอนด้า มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 9% และ 3% ตามลำดับ เป็น 620,000 คัน และ 350,000 คัน ตามข้อมูลจาก MarkLines บริษัทวิจัยในโตเกียว
นอกจากนี้ นิสสันกำลังเสียท่าให้กับคู่แข่งชาวญี่ปุ่นรายอื่น ๆ ด้วยสาเหตุหลักมาจากการที่ยังไม่เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา รถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในตลาด เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายและลดความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงกว่า ในขณะที่โตโยต้ายังคงครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฮบริดทั่วโลกอยู่ประมาณ 60% และฮอนด้าก็มียอดขายรถยนต์ไฮบริด CR-V ที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น การไม่มีตัวเลือกรถยนต์ไฮบริดยังส่งผลต่อราคาขายต่อหน่วยของนิสสัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลกำไร จากข้อมูลของ Cox Automotive บริษัทวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า ราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์นิสสันในสหรัฐฯ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ 34,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.19 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ขณะที่โตโยต้ามีราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5% เป็น 41,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.43 ล้านบาท รวมถึง ระยะเวลาในการเก็บสต็อกรถยนต์ของนิสสันยาวนานถึง 55 วันในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบกับโตโยต้าที่ 27 วัน และฮอนด้าที่ 49 วัน
นิสสันให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ
เนื่องจากที่ผ่านมานิสสันให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มากกว่า และยังไม่มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดในตลาดนี้จนกว่าจะถึงปี 2569 เป็นอย่างเร็ว ราคาขายต่อหน่วยที่ต่ำลงประกอบกับค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลประกอบการของบริษัท ในระหว่างนี้ นิสสันวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินหลายรุ่น รวมถึงรถยนต์อเนกประสงค์ยอดนิยมอย่าง Kicks ในสหรัฐฯ
ด้าน อุชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน กล่าวว่า "การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และปรับโฉมรถยนต์รุ่นเดิมจะช่วยเพิ่มยอดขายและผลกำไรของบริษัท" อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง เดิมทีนิสสันคาดการณ์ยอดขายทั่วโลกไว้ที่ 4 ล้านคันในปีงบประมาณ 2566 แต่ได้ปรับลดประมาณการลงเหลือ 3.44 ล้านคัน และได้ปรับลดประมาณการยอดขายสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันลงอีก 50,000 คัน เหลือ 3.65 ล้านคัน
แม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ นิสสันยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะฟื้นตัวและกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ด้วยแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และปรับปรุงรถยนต์รุ่นเดิม รวมถึง การให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนการเหล่านี้ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในตลาดรถยนต์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสหรัฐฯ ที่มีความผันผวนสูง
อนาคตของนิสสันจะเป็นอย่างไร? ยังคงต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่นี้จะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลับมาสร้างผลกำไรและรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ได้
ที่มา Nikkeiasia