สมาคมประกันชีวิตไทย คาดการณ์ว่า ธุรกิจประกันชีวิตปี 2565 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 612,000 – 629,500 ล้านบาท เติบโตประมาณ 0 - 2.5% และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประมาณ 82 - 83%
ส่วนภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในไตรมาสแรก ปี 2565 มีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 150,427.3 ล้านบาท ลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ปี 2564 แยกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 40,958.0 ล้านบาท ลดลง 6.1% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 109,469.3 ล้านบาท ลดลง 0.02% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 82%
สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วยเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 26,325.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 7.5% เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 14,632.2 ล้านบาท ลดลง 23.5%
เมื่อดูตัวเลขเม็ดเงินในธุรกิจนี้ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อยเพราะมีเค้กชิ้นใหญ่ของรายได้เบี้ยประกันเป็นระดับมากกว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี เรียกได้ว่าดูดผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ที่มีฐานทุน และเครือข่ายที่พร้อมให้กระโดดลงไม่เล่นได้ไม่ยากในยุคโลกดิจิทัลที่คนสามารถซื้อขายอะไรก็ได้ในโลกออนไลน์เพียงใช้ปลายคลิ๊กสั่ง
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกมาประเมินว่า บริษัทประกันชีวิตคงต้องพยายามรักษาอัตราการเติบโตในปี 2565 ให้ต่อเนื่องจากปี 2564 ดังนั้นยอดขายเบี้ยใหม่ให้โตไม่น้อยกว่า 7% ด้วยกระแสความต้องการซื้อประกันสุขภาพยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภายใต้ข้อจำกัดด้านบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ ทำให้การซื้อประกันสุขภาพมีแนวโน้มเป็นความจำเป็นพื้นฐานเพื่อรองรับกรณีการเจ็บป่วยรุนแรง
นอกจากนี้ การปรับปรุงสัญญามาตรฐานของสัญญาประกันสุขภาพ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2565 ยังเป็นผลดีกับผู้ซื้อประกัน ที่สามารถเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างสัญญาของแต่ละบริษัทได้สะดวกขึ้น และมีทางเลือกในการซื้อความคุ้มครองที่ไม่ซ้ำซ้อนกับที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อบริษัทประกันในการขยายฐานลูกค้าและช่วยให้มีการกระจายความเสี่ยงการรับประกันได้ดีขึ้น
ขณะที่ธุรกิจบิ๊กอย่าง "บีทีเอส" หรือรถไฟฟ้า BTS เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เห็นโอกาสทำเงินในธุรกิจประกันชีวิต ล่าสุด “คีรี กาญจนพาสน์” ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ประกาศรุกตลาดประกันผ่านบริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ Rabbit Life
โดยกลุ่มบีทีเอสเข้าซื้อหุ้นบริษัท 75% ใข้เงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแพลตฟอร์มของ BTS ซึ่งจะเข้ามาใช้ดาต้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ในมือของกลุ่ม BTS แล้วไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ปัจจุบัน BTS มีสมาชิกบัตรแรบบิทที่ออกไปแล้วเกินกว่า 15 ล้านใบ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่จะทำให้ธุรกิจนี้สามารถที่จะได้ประโยชน์
นอกจากนี้ จะมีการทำงานร่วมกันบริษัทในเครือสร้างช่องทางขายใหม่ หรือการโฆษณา โดยมีทั้งแรบบิทดิจิทัลแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Rabbit Care ที่เป็นออนไลน์โบรกเกอร์ประกัน และ Rabbit Cash ผู้ให้บริการสินเชื่อ และเครือข่ายสื่ออย่างวีจีไอและแพลนบี พร้อมกับการขยายช่องทางตัวแทนประกันชีวิตอีกด้วย
บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) หรือ แรบบิทไลฟ์ ที่ BTS ถือหุ้นใหญ่และถือเป็นเรือธงที่รุกในธุรกิจประกันชีวิต โดย "กรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ " อธิบายถึงแผนและเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ เน้นการชูกลยุทธ์การเป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภค โดยเริ่มต้นจากแนวคิดในการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
พร้อมทั้งตอบสนองต่อลูกค้าที่แตกต่างโดยการรับฟังความต้องการ เรียนรู้ เพื่อนำไปออกแบบและพัฒนาให้ได้ค่าตอบที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ด้วยสโลแกนของ บริษัท "Rabbit Life Level up life” ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าหมายเป็น 1 ใน 10 ของตลาดธุรกิจประกันชีวิตได้ภายใน 3 ปี หรือในปี 2568 ต้องมีมาร์เก็ตแชร์ของตลาดรวมมากกว่า 1% โดยต้องมีเบี้ยใหม่ 6,000-7,000 ล้านบาท และมีเบี้ยรับรวมกว่า 10,000 ล้านบาท
ส่วนในปี 2565 ตั้งเป้ามีเบี้ยรับรวมมากกว่า 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวม 800 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนตัวแทนช่องทางตัวแทน 350 ราย ซึ่งในสิ้นปีนี้คาดจะมีตัวแทน 500 ราย ส่วนช่องทางเทเล มีจำนวน 120 สิ้นปีนี้คาดว่าจะมี 150 ราย และ ที่ปรึกษาทางด้านการเงิน มี 20 ราย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเข้าไปรุกธุกิจประกันชีวิตของ BTS นั้นน่าสนใจและเป็นโอกาสมากๆ เพราะมีสมาชิกบัตรแรบบิทที่ออกไปแล้วเกินกว่า 15 ล้านใบซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการดีไซด์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประสานการร่วมมือกับเครือข่ายของกลุ่ม Rabbit อีกทั้งยังมีสื่อโฆษณาทั่วประเทศที่ "บีทีเอส" เป็นเจ้าของเองพร้อมที่จะสามารถนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตได้แบบไม่ยาก และเมื่อดูเป้าหมายเบี้ยรับรวมมากกว่า 2,000 ล้านบาท
เมื่อประเมินแบบคร่าวๆ ในปี 2565 ที่ Rabbit Life ตั้งไว้ และเป้าหมายในปี 2568 จะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท หากทำได้ตามแผนงานนี้จริง เปรียบเทียบกับจำนวนเงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาทที่ BTS ที่ใช้ซื้อหุ้น Rabbit Life จำนวน 1,500 ล้านบาท ก็น่าจะถือว่าคุ้มค่าการลงทุน