ธุรกิจการตลาด

ดอนเมืองโทลเวย์ตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30%อานิสงส์เปิดรับนักท่องเที่ยวจีน

9 ม.ค. 66
ดอนเมืองโทลเวย์ตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30%อานิสงส์เปิดรับนักท่องเที่ยวจีน

ดอนเมืองโทลเวย์ ตั้งเป้ารายได้โตกว่า 30%
อานิสงส์เปิดรับนักท่องเที่ยวจีน 

ปริมาณการจราจรเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1.1 หมื่นคัน/วัน

 

หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศวันแรก 8 ม.ค.66 ที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศจีนล็อกดาวน์ปิดประเทศ มาเป็นเวลา 3 ปี จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเปิดประเทศของจีนครั้งนี้ ทำให้ชาวจีนต่างทยอยเดินทางออกมาท่องเที่ยวต่างประเทศ 

ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของประเทศที่น่าท่องเที่ยวหนึ่งแห่งในโลก ประกอบกับใกล้เทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของประชาชนเชื้อสายจีน ที่นอกจากไหว้เทพเจ้า ไหว้บรรพบุรุษแล้ว ยังมีวันเที่ยว สำหรับชาวจีน ทำให้การสัญจรบนท้องถนนในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ คาดว่าปริมาณการจราจรจะคับคั่ง

นายธานินทร์ พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT ปักธงเป้าปีกระต่ายทอง รายได้โตสูงกว่า 30% หลังปริมาณจราจรคึกคัก โดยคาดว่าปริมาณการจราจร เฉลี่ยอยู่ที่ ไม่ต่ำกว่า 110,000 คัน/วัน เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากปีก่อนที่ 85,000 คัน/วัน จากปัจจัยแนวโน้มการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่จะทำให้ปริมาณการเดินทางโดยรวม และการเดินทางมาสนามบินดอนเมือง และมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ และปีนี้ปัจจัยลบเรื่องข้อจำกัดในการเดินทาง

 

เปิด 7 กลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนตามแผนธุรกิจปี 2566-2570 เพื่อความยั่งยืน

ทั้งนี้ บริษัทพร้อมเปิด 7 กลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนตามแผนธุรกิจปี 2566-2570 เพื่อความยั่งยืนแบ่งเป็น 7 ด้าน ประกอบด้วย 

1.กลยุทธ์ Safer Road Traffic Management/ Maintenance เป็นกลยุทธ์หลักที่ส่งเสริมความโดดเด่นของการเป็นผู้ให้บริการ O&M ทางยกระดับ 

2.กลยุทธ์เติบโตไปด้วยกัน Inclusive Growth เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความเข้มแข็งขององค์กรในด้านการบริหารการจัดการต้นทุนการดำเนินงาน ทั้งในด้านต้นทุนบริการและต้นทุนทางการเงิน เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขัน และดึงดูดพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อต่อยอดไปยังโครงการทางด่วนใหม่ๆ และเติบโตไปด้วยกัน

3.กลยุทธ์พัฒนาธุรกิจอื่น Other Non-Toll เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและแนวคิด ซึ่งจะนำไปสู่ธุรกิจอื่นๆ และแหล่งรายได้ใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับทางด่วน เช่น การร่วมจัดตั้งบริษัท ร่วมกับ บริษัท Hanshin Expressway (HEX) จากประเทศญี่ปุ่น หรือการศึกษาโครงการอื่นๆ นอกเหนือจากทางด่วนเช่น Start up ต่างๆ จากความชำนาญและเชี่ยวชาญของฝ่ายบริหารและร่วมกันขับเคลื่อนจากบุคลากรภายในองค์กร 

4.กลยุทธ์ความยั่งยืน ESG เป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กร ในการส่งมอบคุณค่าให้แก่สิ่งแวดล้อม สังคมและกำกับดูแลกิจการ เป็นการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และการลดก๊าชเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายหลักเป็นการขับเคลื่อน ESG-In-Process เพื่อการจัดการและประสิทธิภาพสูงสุด

5.กลยุทธ์ HPO Resilience Management เป็นกลยุทธ์หลักในการพัฒนาศักยภาพขององค์กร และบุคลากร ให้มีความยืดหยุ่นทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และปัจจัยโดยรอบ ทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถขยายโอกาสต่างๆได้อย่างรวดเร็ว 

6.กลยุทธ์ DMT Excellence Recognition เป็นกลยุทธ์ที่สร้างการรับรู้ความเชี่ยวชาญและผลงานขององค์กรผ่านการรับรองจากหน่วยงานภายนอก และสร้างความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานเจ้าของสัมปทาน คือ กรมทางหลวง ที่จะทำให้องค์กรมีความโดดเด่น และสามารถเป็นตัวเลือกในการให้บริการสัมปทานต่อเนื่องและสัมปทานโครงการใหม่อื่นๆ 

7.กลยุทธ์การบริหารเงินสดและต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่ำลง และบริหารต้นทุนในทุกๆ ด้านให้มีประสิทธิภาพ อาทิ Safer Road Traffic Management/ Maintenance กลยุทธ์เติบโตไปด้วยกัน Inclusive Growth กลยุทธ์พัฒนาธุรกิจอื่น Other Non-Toll เป็นต้น เพื่อสร้างความยั่งยืน

 

ปีนี้ทุ่มงบลงทุนกว่า 434 ล้านบาท 

ด้าน ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ DMT กล่าวว่า ปีนี้ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 434 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่  1.การศึกษาวิจัยในงานเทคโนโลยีทางยกระดับ และการศึกษางานในโครงการต่างๆ 2.การลงทุนจัดซื้อทางด้านเทคโนโลยีทรัพย์สินใหม่ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง และ 3.การดำเนินงานบำรุงทางยกระดับ ตามแผนงาน 

 

พร้อมเข้าประมูล 3 โครงการ ได้แก่ M5, M82 และสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต

บริษัทเตรียมความพร้อมครบทุกด้านทั้งด้านการเงิน การระดมทุน ในการเข้าร่วมประมูล 3 โครงการ ดังนี้ 

1.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุขช่วงรังสิต – บางปะอิน (M5) ระยะทาง 22 Km มูลค่า 39,956 ล้านบาท โดยปัจจุบัน กรมทางหลวงอยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อนำเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาและนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รวมทั้งคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ดพีพีพี) ภายในเดือน ก.พ. 2566 ก่อนเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน มี.ค. 2566 ครม. และจัดตั้งคณะกรรมการมาตรา 36 เพื่อจัดทำร่างข้อเสนอ (RFP) และคาดว่าจะเปิดประมูลคัดเลือกเอกชน ช่วงปลายปี 2566 เริ่มก่อสร้างปี 2567-2570 โดยจะเปิดให้บริการปี 2571

2.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางขุนเทียน - บ้านแพ้ว (M82) ระยะทาง 24.7 Km มูลค่า 45,730 ล้านบาท  ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบรูปแบบการร่วมลงทุน (PPP) แล้วเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2565  โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลาสัญญา 32 ปี (ก่อสร้าง 2 ปี และ O&M 30 ปี) คาดว่าจะเปิดคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนได้ภายในกลางปี 2566 และเริ่มก่อสร้างติดตั้งงานระบบช่วงแรกภายในปลายปี 2566 โดยคาดจะแล้วเสร็จเปิดบริการเต็มรูปแบบตลอดทั้งสายพร้อมงานระบบเก็บเงินค่าผ่านทางได้ในปี 2568 

3.โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตองจังหวัดภูเก็ตระยะทาง 4 Km มูลค่า 14,177 ล้านบาท ซึ่งการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้เปิดขายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal : RFP) ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2566 โดยมีกำหนดการยื่นเอกสารวันที่ 7 เมษายน 2566 เปิดซองเอกสารข้อเสนอ 28 เมษายน 2566 โครงการจะเริ่มก่อสร้างปี 2567-2570 โดยจะเปิดให้บริการปี 2571 ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำ Feasibility โครงการ เพื่อพิจารณาการเข้าร่วมการประมูลต่อไป

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT