บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “MINT” เผยผลการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ชี้ทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตทำกำไรต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว และการกลับมาของนักท่องเที่ยวหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก
ในปีนี้กลุ่ม MINT เตรียมผลักดันธุรกิจกลับสู่การเติบโต (Back to Growth) ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุน ผ่านการดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ Minor Hotels, Minor Food และ Minor Lifestyle ซึ่งคาดการณ์ว่าทุกกลุ่มธุรกิจของ MINT จะเติบโตจากอานิสงส์ของปัจจัยบวกดังกล่าว ควบคู่ไปกับมาตรการเชิงรุกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของฐานะทางการเงินของบริษัทในระยะยาว
นาย Dillip Rajakarier ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ MINT ในปี 2565 ที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในไตรมาส 3 ปี 2565 ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของ MINT สามารถทำกำไรในระดับที่สูงกว่าระดับในปี 2562 ซึ่งเป็นระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งผลประกอบการรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาสามารถพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวก และในการประกาศผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 นี้มีลุ้นที่จะได้เห็นกำไรเป็นบวก 10 ไตรมาสต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020
นาย Dillip กล่าวต่อว่า สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นตัวในปี 2566 โดยตั้งเป้า โดยตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ 3 ปี ซึ่งมุ่งเน้นในการเสริมสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง, ขยายพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง, การเพิ่มประสิทธิภาพและอัตราการทำกำไร, การผนึกกำลังพันธมิตรเพื่อการเติบโต รวมทั้งการปรับปรุงศักยภาพด้านดิจิทัล บุคลากร, และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
หนึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทใช้เพื่อรักษากำไร และควบคุมต้นทุนที่เกิดจากหลากหลายปัจจัยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ คือ การปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักรายวัน (ADR) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว หลังการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว คาดว่าจะสามารถรักษาระดับ และทยอยปรับเพิ่มได้อีก ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพและประสบการณ์ในการให้บริการ
สำหรับแผนการลงทุนของ MINT ในระยะ 3 ปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1-1.5 หมี่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังตะวันออกกลางมากขึ้น โดยเฉพาะซาอุดิอาราเบีย และกลุ่มประเทศอื่นๆ สำหรับในกลุ่มธุรกิจอาหาร มีแผนจะปรับโฉมแบรนด์ให้ทันสมัย และพาแบรนด์ต่างๆ ในเครือไปเปิดสาขาในกลุ่มประเทศที่ทำธุรกิจอยู่ ดังเช่นการนำแบรนด์เครื่องดื่ม GAGA ที่บริษัทเพิ่งเข้าไปถือหุ้น 50.1% ขยายไปยังประเทศกลุ่มยุโรป และตะวันออกกลาง เพราะมองว่ากำลังเป็นกระแสนิยม มีศักยภาพในการเติบโต
สำหรับประเทศไทยได้มีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากราว 11 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566 โดยตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากการเปิดประเทศจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมองว่านักท่องเที่ยวจากจีนจะกลับมาอย่างเต็มที่ราวไตรมาสที่ 3 - 4 ของปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ (Perpetual Bond) อันดับเครดิตเรตติ้ง BBB+ ชุดใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. 66 ให้อัตราดอกเบี้ย 6.1% ต่อปี วงเงินหุ้นกู้ 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินออกหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท และ Greenshoe อีก 2 พันล้านบาท