การท่องเที่ยวไทยกลับมาฟื้นอีกครั้ง เมื่อนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสามารถเดินทางท่องเที่ยวในไทยอย่างอิสระเสรี ไม่มีข้อจำกัด ส่งผลดีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทางท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม อสังหาริมทรัพย์
วันนี้ SPOTLIGHT จะพามาดูกิจการบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มทีซีซี (TCC Group) ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ด้านธุรกิจโรงแรมและการบริการ สถานที่ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์
โดยมีธุรกิจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ที่บริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์คุณภาพและมีมาตรฐานในระดับสากล อาทิ แมริออท, เดอะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ,บันยันทรี, ฮิลตัน เชอราตัน และมีเลีย
- กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail, Wholesale and Commercial) ที่ครอบคลุมโครงการในกลุ่ม
1) อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์ คอมมูนิตี้ มาร์เก็ต และอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าส่ง โดยอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้ามีโครงการที่มีชื่อเสียงคือ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ โครงการเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ และโครงการตะวันนา บางกะปิ
2) อาคารสำนักงาน (Office) โดยโครงการที่โดดเด่นในเครือ AWC คือ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ และอาคารแอทธินี ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลทางธุรกิจที่มีศักยภาพในใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
ไตรมาสแรกปีนี้กำไรพุ่งโตกว่าเท่าตัว
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ว่า มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 กว่า 2,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมกว่า 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ AWC ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มต้นปี ด้วยกลยุทธ์ GROWTH-LED ผ่านการพัฒนาโครงการทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสร้างกระแสเงินสดเติบโต พร้อมเร่งสร้างการเติบโตของอัตราผลตอบแทนด้วยการพัฒนาทรัพย์สิน โดยในไตรมาส 1/2566 ของทั้งกลุ่มบริษัทมีอัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ ที่ไม่รวมมูลค่ายุติธรรม (EBITDA MARGIN) สูงถึง 45% แข็งแกร่งกว่าไตรมาส 1/2565 ที่ 14%”
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในทุกเซ็กเมนต์ มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่ 4,152 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 เติบโต 17% โดยเฉพาะโรงแรมนอกกรุงเทพฯ และรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี ที่มีอัตราการเข้าพักสูงโดดเด่น สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
โดยในไตรมาส 1/2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 2,743 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 1,091 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
รวมถึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเป็นจำนวนมาก ในช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยวอย่างเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้สามารถสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
โดย AWC ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวมกว่า 119,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 คิดเป็น 43.9%
นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะกลางอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเข้าลงทุนทรัพย์สินในสัญญาให้สิทธิ (ROFR) จากกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพอื่น ๆ ในระยะยาว และด้วยขนาดของทรัพย์สินคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง
ปี 2566 ตั้งเป้าเพิ่มโรงแรมเป็น 22 แห่ง
โดยปี 2566 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการเป็น 22 โรงแรม จาก 20 โรงแรมในปี 2565 ทำให้มีจำนวนในปี 2566 รวมเป็น 6,036 ห้อง จากปัจจุบันรวม 5,588 ห้อง เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 จะช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่งของทรัพย์สินคุณภาพในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Assets Enhancement) อาทิ การร่วมมือกับ Accor ในการรีแบรนด์จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เป็นโรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย
ปีนี้มีแผนรีแบรนด์โรงแรมใหม่
โดยภายในปีนี้บริษัทมีแผนเดินหน้าเพิ่มพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการรีแบรนด์โรงแรม ได้แก่ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง รวมทั้ง การรีแบรนด์โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ เป็น โรงแรม แมริออท เชียงใหม่ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) มีการเติบโตต่อเนื่องของผู้เช่า ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตมากกว่า 114% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราเช่าพื้นที่สูงถึง 250%
สำหรับโครงการต่างๆ ของ AWC ที่รองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS”
พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเปิด “Disney100 Village at Asiatique” การเปิดตัวห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” และ “เดอะ สยาม ที รูมท์” เพื่อยกระดับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นสอดรับกับจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 250% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“THE PANTIP LIFESTYLE HUB @เชียงใหม่” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมืองเชียงใหม่
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการเปิดตัว THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา AWC ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทย เป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยได้เปิดโมเดลค้าส่งอาหารรูปแบบใหม่ของโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ที่จะตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน
ธุรกิจอาคารสำนักงานยังมีดีมานด์
ขณะที่ธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง มาจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับเทรนด์อนาคตที่ผสมผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) โดยในไตรมาสที่ผ่านมา AWC ได้เปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” เป็นครั้งแรก นำ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เช่าอาคาร ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและไลฟ์สไตล์ในที่เดียว
“AWC ยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาโครงการคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างทรัพย์สินดำเนินงานคุณภาพ เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอและตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้ายุคใหม่อยู่เสมอ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” นางวัลลภา กล่าว
AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความโดดเด่นของแบรนด์องค์กร ได้แก่ รางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2022” ในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2565 ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “Asia's Greatest Brand 2023” รางวัลระดับภูมิภาคเอเชีย ในกลุ่มธุรกิจบริการจากงาน Edition of Asian Business & Social Forum - Asia’s Greatest Brands and Leaders 2023 ที่จัดโดย Asia One Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศอินเดีย เพื่อยกย่องผู้นำทางธุรกิจและแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในปี 2566