ส่องไฮไลต์งาน ‘AI Summit’ ครั้งแรก ในไทย โดย Microsoft
21 พ.ย. 66
23:03 น.
|
551
แชร์
Highlight
ไฮไลต์
หลัง Microsoft ผนึกกำลังกับ OpenAI บริษัทผู้อยู่เบื้องหลังแชทบอทเปลี่ยนโลกอย่าง ChatGPT เปิดตัว AI ตัวเอกขององค์กรอย่าง ‘Copilot’ ที่ได้นำไปสอดผสานกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Microsoft ที่ครอบคลุมการทำงานแทบทุกด้าน
วันนี้ Microsoft ได้ทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์เหล่านั้น และนำ Use-case จริงจากองค์กรยักษ์ใหญ่ มาแชร์องค์ความรู้ และความท้าทายในงาน ‘AI Summit’ ที่จัดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อจุดประกายให้องค์กรน้อยใหญ่ นำ AI ไปใช้ยกระดับองค์กรของตน
กรณีศึกษา องค์กรยักษ์ใหญ่ นำ AI ไปใช้ในองค์กร
Microsoft ได้เริ่มโครงการ Copilot for Microsoft 365 Early Access Program (EAP) ที่ชวนพันธมิตรจากหลากลายอุตสาหกรรม นำ ‘Copilot for Microsoft 365’ AI ที่จะสอดประสานเข้ากับโปรแกรม Microsoft 365 ที่แต่ละองค์กรได้ใช้งานอยู่แล้ว เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้กับคนในทุกส่วนขององค์กร
SCBX: ตัวแทนผู้บริหารจาก SCBX ชูให้เห็นว่า พนักงานจำนวนมากใช้เวลาไปกับงานซ้ำซากจำเจ การที่มี AI มาช่วยจัดการงานเหล่านั้นให้ ทำให้พวกเขาได้ใช้ศักยภาพไปกับงานที่มีคุณค่ามากอย่างเต็มที่
โดย SCBX ไม่ได้มีแผนที่จะลดคน แต่อยากเพิ่มศักยภาพการทำงานของคนจำนวนเท่าเดิมด้วย AI โดยหลักคิดสำคัญของการทำ AI มาใช้นั้น คือ การที่นำไปช่วยเสริมศักยภาพหน่วยธุรกิจก่อน โดยอาศัยหลักคิดง่ายๆ เหมือนกับตอนที่บริษัทต่างๆ นำ Microsoft Word เข้ามาใช้ ว่า โปรแกรมนี้ ควรใช้กับหน่วยงานที่จำเป็นก่อน ไม่ใช่นำไปใช้กับฝ่าย IT แค่เพียงเพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่
สำหรับข้อจำกัดของ Copilot ขณะนี้ คือ การใช้งานภาษาไทยยังใช้งานได้ไม่เต็มที่ ซึ่ง SCBX ก็มีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่จะพัฒนาโมเดล AI ภาษาไทยโดยอาศัยข้อมูลจากหลายภาคส่วน เพื่อมาเชื่อมต่อกับ Copilot และทำให้คนในทุกระดับสามารถเข้าถึงศักยภาพของ AI ได้อย่างสูงสุด แม้จะสื่อสารตอบโต้ด้วยภาษาไทย
AIS กล่าวถึงบทความของ Harvard Business Review เรื่อง Boost Your Productivity with Generative AI ว่าการนำ AI มาใช้ในการทำงาน ไม่เพียงช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น 25.1% เท่านั้น แต่ยังทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นถึง 40% อีกด้วย
หนึ่งตัวอย่างการใช้งานของ AIS คือ การนำ AI มาช่วยให้บริการ Call Center แต่แทนที่จะใช้ให้บริการเหมือนระบบ Call Center ทั่วไปที่จะใช้กับสายโทรเข้า (In-bound Call) แต่กลับนำไปใช้กับสายโทรออกไปแจ้งข้อมูลลูกค้า (Out-bound Call) แทน เพราะมองว่า สำหรับลูกค้าที่มีปัญหาและโทรเข้ามานั้น ต้องการที่จะคุยกับผู้ให้บริการที่เป็นมนุษย์อย่างด่วนที่สุด
การสายโทรออกนั้น ในเบื้องต้นอาจใช้ AI ทำแทนได้ เบื้องต้น และยังสามารถจับจากน้ำเสียงได้ ทั้งกรณีที่ลูกค้าไม่สะดวก ก็สามารถบอกว่าจะติดต่อมาใหม่ หรือถ้าลูกค้าสนใจ ก็ค่อยโอนสายไปยังผู้ให้บริการที่เป็นมนุษย์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของ Call Center แม้จะมีจำนวนผู้ให้บริการเท่าเดิม
Microsoft จะทำงานกับภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ ‘Cloud First’ ของกระทรวงดิจิทัล พร้อมทั้งรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และพิจารณาแผนการลงทุนสร้าง Data Center ในประเทศไทย
โดยจะเป็น Data Center ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ดังแผนที่วางไว้ว่า Data Center ทั่วโลกของ Microsoft จะเป็นพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2025
จัดทำโรดแมปที่จะช่วยให้การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานเกิดขึ้นได้จริง และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมในภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยนาย ธนวัฒน์ยกตัวอย่างการใช้ AI มาเพิ่มความสมาร์ทให้กับรัฐบาลต่างๆ ว่า AI ของ Microsoft อาจมาช่วยทำให้ประสบการณ์การติดต่อหน่วยงานต่างๆ ของประชาชนดีขึ้น ผ่านการคุยกับ AI Chatbot ที่พัฒนาร่วมกันกับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้เรียกข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของรัฐบาลได้ และติดต่อขอแบบฟอร์มต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เปิดตัว ‘Copilot for Microsoft 365’ ประสบการณ์ออฟิศที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังจากแง้มให้ทั่วโลกได้เห็นศักยภาพของการ AI มาปฏิวัติการทำงานบนบริการต่างๆ จาก Microsoft เมื่อช่วงต้นปี บัดนี้ บริการ Copilot for Microsoft 365 ได้เปิดให้ลูกค้าองค์กรเริ่มใช้งานทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นมา
โดยทำงานผสานกับแอปพลิเคชันที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันและการทำงานของผู้คนนับล้านอย่าง Word, Excel, PowerPoint, Outlook และ Teams พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถใหม่ๆ มากมาย โดยมีฟีเจอร์เด่น อาทิ
Outlook มาพร้อมฟีเจอร์ช่วยสรุปอีเมลที่ต่อเนื่องกัน การร่างข้อความตามรูปแบบที่ต้องการ และติดตามการประชุมผ่าน Teams ได้อย่างสะดวก
Word ช่วยสรุปเนื้อหาในเอกสาร ร่างเนื้อหาในการเขียนเอกสารใหม่ และการจัดรูปแบบย่อหน้า