ธุรกิจการตลาด

วิเคราะห์กลยุทธ์กสิกรไทย หลังประกาศปิด 2 บริษัทย่อย

20 ส.ค. 67
วิเคราะห์กลยุทธ์กสิกรไทย หลังประกาศปิด 2 บริษัทย่อย

กสิกรไทยประกาศยุติกิจการบริษัทย่อยถึง 2 แห่ง "ร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี" และ "แคปเชอร์ วัน"ธนาคารยืนยันไม่กระทบฐานะการเงิน แต่การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้จะส่งสัญญาณอะไรบ้าง? ร่วมวิเคราะห์กันในบทความนี้

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 เกี่ยวกับการ ยกเลิกกิจการของบริษัท ร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ธนาคารถือหุ้นทั้งหมด 100% โดยการดำเนินการนี้ได้จดทะเบียนยกเลิกต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ส่วนการยกเลิกกิจการของบริษัท แคปเชอร์ วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ธนาคารถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด ในสัดส่วน 70% โดยการดำเนินการนี้ได้จดทะเบียนยกเลิกต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ธนาคารกสิกรไทย ยืนยันว่า การยุติกิจการของบริษัท แคปเชอร์ วัน จำกัด จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะการเงินของธนาคาร และธนาคารจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายในการชำระบัญชีต่อไป

บริษัท ร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัดธนาคารกสิกรไทยถือหุ้น 100%

  • ก่อตั้งเมื่อ 12 ตุลาคม 2550
  • ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท
  • บริษัทเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ KSME Care และวัตถุประสงค์ลงทุนในเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพที่ต้องการเงินทุนในการขยายธุรกิจ
  • เป็นบริษัทร่วมลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มที่มีสินทรัพย์รวมไม่เกิน 200 ล้านบาท
  • ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 1,247,099 บาท ขาดทุนลดลง 27.12% แต่เป็นการขาดทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 รวมขาดทุนสะสม 4 ปีแล้ว 6,072,653 บาท 
  • ปี 2566 มีรายได้รวม 558,151 บาท เพิ่มขึ้น 50.46% รายได้รวมสะสม 4 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ 333,261 บาท 

บริษัท แคปเชอร์ วัน จำกัดเป็นการร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้น 70% กับบริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เมื่อ 23 ธันวาคม 2565 

  • ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567
  • ด้วยทุนจดทะเบียน 35 ล้านบาท 
  • ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (CRM) , Solution Platform, ระบบจัดการสินค้าบน e-Marketplace และธุรกิจสนับสนุนอื่น ซึ่งสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคาร (การจัดหาสินค้าบริการและรางวัล เพื่อแลกคะแนนสะสม)

เปิดเหตุผลธนาคารกสิกรไทยต้อง ยกเลิกกิจการของบริษัท 2 บริษัทย่อย

นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยกับ SPOTLIGHT ว่า เค-เอสเอ็มอี และแคปเชอร์ วัน เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ซึ่งแต่ละปีธนาคารมีการจัดตั้งบริษัทจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมากสิกรไทยไม่เคยมีการประกาศปิดกิจการเลย ซึ่งเป็นเรื่องของ Commercial Point ไปได้ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของแบงก์

" การยกเลิกกิจการของ 2 บริษัท ไม่กระทบต่อฐานะของแบงก์ เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับ Asset Size ของธนาคาร ซึ่งเข้าใจว่าแคปเชอร์ วัน เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการแลก point และเค เอสเอ็มอี เป็นเรื่องของการปรับแผนทางธุรกิจของธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมาในแต่ละปีเปิดบริษัทเยอะมาก ซึ่งเราไม่เคยปิดเลยเพิ่งจะมีครั้งนี้" นายพิพิธ กล่าวกับ SPOTLIGHT 

วิเคราะห์เหตุผลการปิด 2 บริษัทย่อย

หากจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุ มีความเป็นไปได้ดังนี้:

  • ขาดทุนต่อเนื่อง: แม้ว่ารายได้จะเติบโต แต่บริษัทยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างหรือความท้าทายในการแข่งขันในตลาด การดำเนินธุรกิจต่อไปอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและทรัพยากรที่ใช้ไป
  • การปรับกลยุทธ์ของธนาคาร: กสิกรไทยอาจกำลังปรับทิศทางธุรกิจ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักหรือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและสร้างผลกำไรได้มากกว่า การยุติกิจการบริษัทย่อยที่ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
  • สภาพตลาดและเศรษฐกิจ: สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ธุรกิจของบริษัท ร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ไม่สามารถเติบโตหรือทำกำไรได้ตามที่คาดหวัง ธนาคารจึงอาจตัดสินใจยุติกิจการเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อภาพรวม
  • การบริหารความเสี่ยง: ธนาคารอาจพิจารณาว่าการดำเนินธุรกิจ ทั้งความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านตลาด หรือความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ เป็นต้น

 

มุ่งสู่ธุรกิจหลัก เพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง

  • แสดงให้เห็นว่า กสิกรไทยต้องการมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของธนาคาร ซึ่งได้แก่ การให้บริการทางการเงิน การปล่อยสินเชื่อ และการบริหารความมั่งคั่ง การลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจจะช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก
  • แม้ว่าธนาคารจะยืนยันว่าการยุติกิจการของทั้งสองบริษัทจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน แต่การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงเชิงรุกของธนาคาร การลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง จะช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะยาว 

เตรียมพร้อมรับความท้าทายใหม่

  • ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน การยุติกิจการบริษัทย่อยบางแห่งอาจเป็นการเปิดทางให้กสิกรไทยสามารถลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงกว่า เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว

ส่งสัญญาณความระมัดระวัง

  • แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว แต่ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ การยุติกิจการบริษัทย่อยอาจสะท้อนถึงความระมัดระวังของกสิกรไทยในการดำเนินธุรกิจ โดยเลือกที่จะรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สิ่งที่น่าจับตามองต่อไปในอนาคต

  • กสิกรไทยจะนำทรัพยากรที่ได้จากการยุติกิจการบริษัทย่อยไปลงทุนในด้านใดบ้าง?
  • กสิกรไทยจะมีแผนการปรับกลยุทธ์อื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่?

การยกเลิกดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของธนาคารในการมุ่งสู่ประสิทธิภาพ การเติบโตอย่างยั่งยืน และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดและเศรษฐกิจ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : https://www.set.or.th/th/market/news-and-alert/newsdetails?id=90886901&symbol=KBANK 

https://www.set.or.th/th/market/news-and-alert/newsdetails?id=90886801&symbol=KBANK 

กรมธุรกิจการค้า 

https://www.dbd.go.th/news/91170567 

/https://www.dbd.go.th/download/downloads/03_boj/intro_step_bj_dissolve.pdf 
KBANK : chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/article/KSMEAnalysis/Documents/Challenges-SME-Businesses.pdf

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT