ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญมีมชื่อดัง Dogecoin เชื่อตลาดคริปโทฯ "เกือบทั้งหมด" เป็นการโกง-ขยะ ชุมชนคนเล่นส่วนใหญ่งี่เง่าไม่รู้จริง
หลายคนรู้ดีว่าโลกของคริปโทเคอร์เรนซีนั้น "อันตราย" โดยอาจรวยเป็นเศรษฐีได้ข้ามวัน แต่ก็อาจหมดตัวได้แค่ข้ามคืนเช่นกัน เพราะเป็นตลาด Decentralized ที่ไม่มีหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนมาช่วยดูแลรับประกันความเสี่ยง หลายคนไม่เคยอ่าน White Paper หรือรู้จักเหรียญที่ซื้อ มิหนำซ้ำยังมีการเปิดโอกาสให้ทำ Leverage หรือการกู้มาเก็งกำไรได้หลายเท่า ทำให้ "ภาพลักษณ์" ของวงการนี้แทบจะเต็มไปด้วย "สายซิ่ง" เก็งกำไรไปหมดแล้วในสายตาของคนนอกวงการ
ไม่
แม้กระทั่งผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญหมาชื่อดังอย่าง Dogecoin ก็ยังยอมรับว่า 95% ของเหรียญในโลกคริปโทฯ ล้วนเป็นการหลอกลวง (Scam) และเป็นขยะที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง
บิลลี มาร์คัส (Billy Markus) ผู้ร่วมก่อตั้งเหรียญมีม Dogecoin ระบุในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า โครงการส่วนใหญ่ไม่มีอะไรมากไปกว่าขยะที่ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังเรียกคนส่วนใหญ่ในชุมชนคริปโทฯ ว่าเป็นพวกโง่เง่า
“โปรดทราบด้วยว่า คนกลุ่มเดียวที่จะตอบโต้และโจมตีทวีตเหล่านี้คือ พวกนักต้มตุ๋นและคนงี่เง่า” ทวีตของมาร์คัส ระบุ
ความเห็นดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในทวิตเตอร์และคอมมูนิตีของคริปโทฯ โดยเฉพาะหลังจากที่ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งเทสล่าและสเปซเอ็กซ์ และเป็นเหมือน "บิดาแห่ง Dogecoin" ทวีตกลับด้วยอิโมจิ "ขำกลิ้ง"
สำหรับ Dogecoin เองก็เป็นเหรียญมีมธรรมดาที่เกิดขึ้นมาเพราะการเสียดสีเท่านั้น แต่กลับไปเข้าตา อีลอน มัสก์ ที่พาเหรียญขึ้นยาน SpaceX จนราคา To the Moon ไปแล้วด้วยมาร์เก็ตแคปที่สูงถึงกว่า 11 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ วงการคริปโทฯ เข้าสู่ขาลงในปีนี้จากผลกระทบการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สะเทือนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แต่ยิ่งปั่นป่วนหนักหลังเกิดกรณีเหรียญ Terra (Luna) และเหรียญ UST ดิ่งเหวอย่างหนักจนส่งผลกระทบไปยังตลาดคริปโทฯ ทั่วโลก และฉุดมาร์เก็ตแคปลงมามากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์