สินทรัพย์ดิจิทัล

คนไทยยอมรับบิตคอยน์ ติด Top 3 โลก ทำไมปี 2024 อาจเป็นปีของคริปโต?

10 ต.ค. 67
คนไทยยอมรับบิตคอยน์ ติด Top 3 โลก ทำไมปี 2024 อาจเป็นปีของคริปโต?

นับตั้งแต่การเปิดตัว ‘Bitcoin ETF’ ที่เพิ่มการยอมรับ ‘บิตคอยน์’ จากสถาบันการเงินในวงกว้าง และ ‘Bitcoin Halving’ ที่จะทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นในปีถัดไป รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินที่ไหลกลับเข้าตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้เกิดคำถามว่า “ปี 2024 คือ ปีของคริปโตหรือไม่?”

SPOTLIGHT ได้สรุปเสวนาพิเศษ การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ‘Decoding: Is FY24 The Best Year For Crypto?’ จากมุมมองของ 5 วิทยากรในวงการฯ ที่ร่วมพูดคุยในครั้งนี้:

  • คุณนเรศ เหล่าพรรณราย นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย 
  • คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้ง ไรท์ชิฟท์ และกรรมการบริหาร โฉลก ดอท คอม
  • ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน ผู้ร่วมก่อต้ังและที่ปรึกษา FWX และอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
  • คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Binance TH โดย Gulf Binance
  • ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และผู้อำนวยการ Binance TH Academy โดย Gulf Binance

ตลาดในปีนี้ เป็นปีที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง?

สำหรับในปี 2024 นี้ ‘พิริยะ’ มองว่า ถึงแม้ปีนี้อาจไม่ใช่ปีที่ราคาบิตคอยน์สูงที่สุด แต่ความมั่นคงของบิตคอยน์ ยังคงทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งหากพิจารณาถึงผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จะพบว่า บิตคอยน์ยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในปีนี้

เช่นเดียวกับ ‘นเรศ’ ที่มองว่า ราคาของบิตคอยน์อาจจะไม่สูงที่สุด แต่ปีนี้เป็นปีที่น่าสนใจสำหรับทั้งการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) เนื่องจากเป็นปีที่ทั้งสองระบบ เริ่มมาบรรจบกันอย่างเป็นทางการ การลงทุนจากภาคการเงินดั้งเดิม เริ่มเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น

ส่วน ‘ดร.กร’ กล่าวว่า การยอมรับบิตคอยน์ในไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว จนติด 3 อันดับประเทศที่มีการยอมรับบิตคอยน์ (Bitcoin Adoption) สูงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นจากแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน หรือจากการลงทุนในระดับบุคคล สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน และแม้แต่ภาครัฐ ต่างเริ่มสนใจว่า ควรเข้าสู่ตลาดนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่า ตลาดเริ่มได้รับการยอมรับ และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ด้าน ‘ผศ.ดร.อุดมศักดิ์’ มองว่า ปี 2024 เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะบิตคอยน์ เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลบวกต่อตลาด ไม่ว่าจะเป็น ‘Bitcoin Halving’ ที่ทำให้ราคาพุ่งสูงในช่วงปีถัดไป การเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องในระบบการเงิน และการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลจากหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับคริปโต เช่น ‘Bitcoin ETF’ ทำให้การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ ‘นิรันดร์’ กล่าวว่า นอกจากการเปิดตัว ‘Binance TH’ แล้ว ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ผลักดันให้ปีนี้เป็นปีที่สร้างประวัติศาสตร์ในวงการนี้ ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ยังครอบคลุมไปทั่วโลกอีกด้วย

ปัจจัยที่ทำให้ผู้ลงทุนหน้าใหม่เข้ามา?

ปี 2024 เป็นอีกหนึ่งปีที่ประเทศไทย มีการยอมรับบิตคอยน์ใจวงกว้างมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ตามที่  ‘นิรันดร์’ เผย คือ การมองเห็นประโยชน์ที่ชัดเจน แม้ว่าคนทั่วไปอาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีการทำงานของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างลึกซึ้ง แต่พวกเขาจะเริ่มสนใจเมื่อเห็นว่าสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือในการรักษามูลค่าได้ 

ในขณะที่บางประเทศ เช่น ประเทศไทย มีค่าเงินที่ค่อนข้างเสถียร แต่ในประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อหรือค่าเงินเสื่อมสภาพอย่าง เวเนซุเอลา สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง ‘บิตคอยน์’ กลายเป็นทางเลือกที่มั่นคงกว่า ส่งผลให้มีการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศเหล่านี้มากขึ้น

ส่วน ‘พิริยะ’ เผยว่า ปัจจัยที่ขับเคลื่อนสำคัญมาจาก ‘อัตราเงินเฟ้อ’ ทำให้นักลงทุนมองหาทางเลือกในการเก็บรักษามูลค่า และเพื่อเก็งกำไร ซึ่งต่างจากประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่หันมาใช้คริปโตเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร นอกจากนี้ ‘สื่อออนไลน์’ ยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการยอมรับบิตคอยน์อย่างรวดเร็ว 

สอดคล้องกับ ‘ดร.กร’  ที่อธิบายว่า การใช้สื่อออนไลน์ของคนไทย ที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งจาก TikTok, YouTube, และแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงจำนวนสมาร์ทโฟนและซิมการ์ดในประเทศ ที่มีมากกว่าจำนวนประชากร ทำให้มีการยอมรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากคนไทยมีพฤติกรรมที่เรียกว่า ‘FOMO’ (Fear of Missing Out) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส เมื่อมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลกดิจิทัล ซึ่งหากย้อนกลับไป 3-4 ปีที่ผ่านมา คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความสงสัยในบิตคอยน์ และคริปโตเคอร์เรนซีว่า มีความเสี่ยงในการ ‘ถูกหลอก’ หรือไม่ แต่ปัจจุบัน ความคิดเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนไป นักศึกษาช่วงอายุ 20-24 ปีที่เคยสนใจตลาดหุ้น ก็หันมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นแทน

‘ผศ.ดร.อุดมศักดิ์’ เสริมว่า 50-60% ของนักลงทุนในวัยมหาวิทยาลัยกำลังลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเหลือเพียง 10% ที่ยังคงลงทุนในหุ้นแบบดั้งเดิม เพราะการลงทุนในคริปโต ได้ผลลัพธ์ที่เร็ว และยังช่วยสร้างเงินออมเพื่อการเกษียณได้ด้วย 

แต่หนึ่งปัญหาที่พบเจอ คือ นักลงทุนเหล่านี้มักไม่เข้าใจว่าเหรียญคริปโตมีวัตถุประสงค์ในการทำงานอย่างไร ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจลงทุนมีความเสี่ยง

ผลกระทบจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ

ดร.กร’ สังเกตว่า ทุกครั้งที่เกิด Bitcoin Halving มักจะตรงกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยย้อนไปดูในช่วงที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้งครั้งแรก ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีก็พุ่งขึ้น และไม่ว่าจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในปีไหน ราคาบิตคอยน์ก็มักจะเพิ่มขึ้นเสมอ ส่วนการเลือกตั้งรอบปัจจุบัน ผู้สมัครทั้งสองฝ่ายสนับสนุนคริปโต ทำให้อาจมีนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตของคริปโตมากขึ้น

ส่วน ‘นเรศ’ เผยว่า การหาเสียงของทั้ง ‘กมลา แฮร์ริส’ และ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เห็นถึงการสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้คาดการณ์ว่า การเมืองสหรัฐฯ ในอนาคต อาจมีนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล

ในขณะที่ ‘นิรันดร์’ มองว่า ไม่ว่าจะเป็นใครที่ชนะการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต แต่สำหรับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจให้การสนับสนุนคริปโตมากกว่าเล็กน้อยหากเขากลับมาดำรงตำแหน่ง และมีความเชื่อว่า ทรัมป์จะนำบิตคอยน์กลับมาให้กับชาวอเมริกัน 

ส่วนพรรคเดโมแครต แม้ในอดีตจะมีท่าทีต่อต้านคริปโต แต่ในปีนี้กลับมีการอนุมัติ ‘Bitcoin ETF’ ทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นในกฎเกณฑ์ ซึ่งไม่ว่าผู้ใดจะเป็นประธานาธิบดี ผลกระทบต่อคริปโตเคอร์เรนซีในสหรัฐฯ น่าจะเป็นบวกในระยะยาว

นักลงทุนหน้าใหม่ ต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง?

สำหรับใครที่สนใจลงทุนในบิตคอยน์ หรือเพิ่งเป็นมือใหม่ในวงการนี้ ‘พิริยะ’ แนะว่า การลงทุนในบิตคอยน์ยังคงมีความเสี่ยงสูง เช่น การสูญเสียมูลค่าถึง 50% ในช่วงเวลาสั้นๆ หากนักลงทุนไม่ได้มีความเข้าใจในกลไกตลาดที่ดีพอ ดังนั้น การศึกษาระบบการเงินและปัจจัยที่ทำให้มูลค่าสกุลเงินลดลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ การลงทุนในบิตคอยน์ไม่ใช่เพียงแค่การเก็งกำไร แต่เป็นการตัดสินใจที่ต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริง ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์มากขึ้นจะสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดี  และทำให้การลงทุนเป็นไปอย่างมั่นคง

สอดคล้องกับมุมมองของ ‘นเรศ’ ที่มองว่า นักลงทุนควรมองการลงทุนในบิตคอยน์ และสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ควรเน้นผลตอบแทนในระยะสั้นหรือโฟกัสกับความผันผวนในแต่ละวัน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน ที่ต้องมีความอดทนและมองภาพรวมในระยะยาว เพื่อผ่านพ้นทุกวิกฤติและได้รับผลตอบแทนที่มั่นคง

เช่นเดียวกับ ‘ดร.กร’ ที่แนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแค่การรู้ว่าควรซื้ออะไรในราคาเท่าไหร่ แต่ยังต้องตรวจสอบแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและป้องกันการถูกหลอกลวง รวมถึงต้องคอยติดตามข่าวสารที่มีผลกระทบต่อตลาดคริปโต ซึ่งรวมถึงข่าวการเมือง สงคราม การเงิน และเศรษฐกิจโลก

เนื่องจากบิตคอยน์มีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีเวลาทำการจำกัด ดังนั้น การวิเคราะห์ข่าวอนาคตและผลกระทบระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน นักลงทุนควรใช้เงินลงทุนที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ในเร็วๆ นี้ และมองการลงทุนในระยะยาว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการลงทุนและลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาด

‘ผศ.ดร.อุดมศักดิ์’ กล่าวว่า การเตรียมเงินก้อนเล็กๆ ประมาณ 10,000-20,000 บาท แล้วนำไปลงทุนในตลาดคริปโต โดยมองในระยะเวลา 4-5 ปี จะเป็นวิธีที่ช่วยให้เข้าใจกลไกของตลาดและสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ได้อย่างชัดเจน สิ่งสำคัญคือการ ‘Take Profit’ หรือการทำกำไรเมื่อราคาสูงขึ้น แทนที่จะหวังให้สินทรัพย์ขึ้นตลอดกาล การเก็บเงินกำไรออกเป็นระยะๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน

ทั้งนี้ ‘นิรันดร์’ ปิดท้ายว่า แม้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง แต่นักลงทุนจำเป็นต้องมั่นใจใน ‘แพลตฟอร์ม’ ที่ใช้ในการจัดการเงินและการลงทุน เนื่องจากแพลตฟอร์มที่ไม่ปลอดภัยอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น การเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกเป็นสิ่งสำคัญ และควรหาข้อมูลที่ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจลงทุน

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT