สินทรัพย์ดิจิทัล

คนอินเดียนิยมมลงทุนคริปโต แม้ถูกโกงติดอันดับ 5 ของโลก เสียภาษี 30%

12 ต.ค. 67
คนอินเดียนิยมมลงทุนคริปโต แม้ถูกโกงติดอันดับ 5 ของโลก เสียภาษี 30%

ถึงแม้ว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่ ‘อินเดีย’ ยังคงเป็นผู้นำโลกในด้านการใช้สกุลเงินดิจิทัลในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตามรายงานจาก Chainalysis แพลตฟอร์มข้อมูลบล็อคเชน ซึ่งแรงผลักดันส่วนใหญ่ มาจากนักลงทุนที่หวังจะใช้ประโยชน์จากตลาดที่เฟื่องฟู รวมถึงนักพัฒนาที่ใช้สกุลเงินดิจิทัล สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับบล็อคเชน แทนที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน 

คนอินเดียนิยมมลงทุน 'คริปโต' แม้ถูกโกงติดอันดับ 5 ของโลก เสียภาษี 30%

Balaji Srihari ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ CoinSwitch Kuber ศูนย์แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในท้องถิ่น เผยว่า กลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่ มักเป็นกลุ่มนักลงทุนและนักเทรด ตามมาด้วยนักพัฒนาในกลุ่มย่อย เนื่องจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลผ่านแอป นั้นง่ายกว่าการเรียนรู้เทคโนโลยีบล็อคเชน

การนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้อย่างแพร่หลายในระดับรากหญ้านี้ เกิดขึ้นแม้ธนาคารกลางของอินเดียจะเตือนว่า สกุลเงินดิจิทัลอาจทำลายศักยภาพของหน่วยงาน ในการกำหนดและควบคุมนโยบายการเงิน และระบบการเงินก็ตาม

โดย ‘เดลี’ เก็บภาษีจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลสูงถึง 30% รวมถึงคริปโตเคอเรนซี สูงกว่าภาษีที่จัดเก็บจากหุ้นที่ถือครองเป็นเวลา 1 ปีขึ้นไป ถึง 2.5 เท่า และการขายคริปโตเคอเรนซีจะถูกเก็บภาษีที่ 1% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดด้วย

ส่วนหน่วยงานกำกับดูแลการลงโฆษณาในอินเดีย ได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับโฆษณาคริปโต เช่น การชี้แจงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนดังกล่าว การดำเนินการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเปิดตัวแคมเปญโฆษณาที่มีผู้มีชื่อเสียงจากการแลกเปลี่ยนในท้องถิ่น เช่น CoinSwitch Kuber และ CoinDCX 

ในขณะที่ ‘Binance’ เว็บแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกปรับเป็นเงิน 188.2 ล้านรูปี (2.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือราว 74.72 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน หลังจากลงทะเบียนกับ FIU เพื่อพยายามกลับมาดำเนินการในประเทศอีกครั้ง

รวมทั้งเว็บแลกเปลี่ยนคริปโต KuCoin ที่ได้ลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลในเดือนมีนาคม แต่ถูกปรับเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยที่ 3.45 ล้านรูปี หรือราว 1.37 ล้านบาทเช่นกัน

ถึงแม้มาตรการดังกล่าวจะไม่สามารถทำให้ชาวอินเดียหยุดลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลได้ แต่ค่าสัมบูรณ์ของการลงทุนกลับลดลง ตามข้อมูลของ Chainalysis ที่พบว่า มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่ซื้อขายในอินเดียลดลงเหลือประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5 ล้านล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ลดลงประมาณ 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังพบนักลงทุนที่ถูกโกงด้วย หนึ่งในนั้น คือ ‘Ravi Handa’ ที่สูญเสียเงินรวม 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.67 พันล้านบาท จากการโจมตีทางไซเบอร์เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา บน WazirX ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของอินเดียที่ปิดตัวไปแล้ว 

สิ่งที่น่าสนใจ คือ การโดนโกงในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้ความอยากใช้สกุลเงินดิจิทัลของชายวัย 41 ปีผู้นี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ตามที่ Handa กล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว สกุลเงินดิจิทัลเป็นการเดิมพัน 10 ปี มูลค่าปัจจุบันที่ผมถืออยู่คือประมาณ 2 ล้านรูปี (23,800 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ) หรือประมาณ 7.94 แสนบาท และผมจะดีใจมากหากมันเติบโตขึ้น 10 เท่าในตอนนั้น”

ในขณะที่ สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ ได้รับการร้องเรียนจากอินเดีย 840 เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลในปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าความเสียหายรวม 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 1.47 พันล้านบาท 

มูลค่าความเสียหายทั้งหมดที่เกิดจากการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกเกิน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ​ หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท นำโดย ‘สหรัฐอเมริกา’ ครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนการร้องเรียนมากถึง 57,762 เรื่อง ตามมาด้วย ‘แคนาดา’ 1,236 เรื่อง ‘สหราชอาณาจักร’ 962 เรื่อง และ ‘ไนจีเรีย’ ใกล้เคียงกับอินเดียที่ 841 เรื่อง

ความเชื่อมั่นของ Handa ในภาคส่วนดังกล่าวเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสถาบันการเงินอย่าง BlackRock, Fidelity, และ Invesco เปิดตัวกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ติดตามสกุลเงินดิจิทัล และ ‘เอลซัลวาดอร์’ กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่รับรองการชำระหนี้ด้วยบิตคอยน์ได้

Srihari กล่าวว่า แม้ว่าระดับการลงทุนจะยังห่างไกลจากวันที่มีความผันผวนสูง แต่ผู้ที่เคยนำเงินไปอายัด และรอให้สถานการณ์ฟื้นตัว กำลังจะกลับมาลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาได้รับกำลังใจจากกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้น และมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่พุ่งสูงขึ้น

มูลค่าของบิตคอยน์พุ่งขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 60,652 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.02 ล้านบาทในช่วงปีที่ผ่านมา และมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 42.02 ล้านบาท 

ขณะที่ Ethereum พุ่งขึ้น 42% เป็น 2,346 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 78,250 บาท และมูลค่าตลาดที่ 3.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10.57 ล้านล้านบาท ทำให้ทั้งสองเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แม้การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ความผันผวนทำให้การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนที่ไม่สงสัยยังอาจตกเป็นเหยื่อของกลลวงที่สัญญาว่า จะให้ผลตอบแทนสูงอีกด้วย

ที่มา Nikkei Asia, Reuters, Business Standard

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT