แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโทฯ BlockFi 'ล้มละลาย'ตามคาด เจ็บหนักเพราะมี FTX เป็นลูกหนี้รายใหญ่ พบบริษัทมีเจ้าหนี้กว่า 1 แสนราย!
กลายเป็นโดมิโนตัวที่ 2 ตามความคาดหมายจริงๆ สำหรับ "BlockFi" แพลตฟอร์มกู้ยืมคริปโทเคอร์เรนซีที่ "ยื่นล้มละลาย" ต่อจาก FTX และเป็นแพลตฟอร์ใหญ่ที่แม้แต่บริษัทในไทยอย่าง "SCB 10X" (กลุ่มไทยพาณิชย์) ก็เข้าไปร่วมลงทุนด้วย!
ประเด็นก็คือ ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีนั้นยัง "ใหม่" และ "เล็ก" กว่ามาก เมื่อเทียบตลาดการเงิน ตลาดหุ้น และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหมายความว่า เงินส่วนใหญ่ในตลาดคริปโทฯ จะหมุนเวียนเป็นวงกลมกันอยู่ในระบบกับรายใหญ่ๆ ซึ่งเมื่อเกิดการล้มละลายของรายใหญ่ขึ้นมา เช่น FTX (อดีตแพลตฟอร์มเทรดเบอร์ 2) มันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า "Death Spiral" หรือ เกลียวมรณะ ซึ่งกระทบบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในวงกลมเดียวกันให้บาดเจ็บหรือล้มหายตายจากไปด้วยกัน "เพราะเงินมันเชื่อมถึงกันหมด"
ทีมข่าว Spotlight ได้สรุปประเด็นสำคัญจากการยื่นล้มละลายของ BlockFi มาให้ดังนี้
BlockFi คืออะไร?
คือแพลตฟอร์มให้กู้ยืมคริปโทเคอร์เรนซี (Crypto lending) ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลัก (แต่ก็มีกระดานเทรดเองด้วย) ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย Zac Prince และ Flori Marquez ให้บริการด้านการเงินแก่ทั้งรายย่อย ธุรกิจ และสถาบันการเงินทั่วโลก ช่วงท็อปฟอร์มในปี 2564 มีสินทรัพย์หมุนเวียนในการดูแลมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์
ในเดือน มี.ค. 2564 บริษัทระดมทุนได้ถึง Series D ได้เงินลงทุนไป 350 ล้านดอลลาร์ ทำให้บริษัทมีมูลค่าทะยานไปแตะ 3,000 ล้านดอลลาร์ ในบรรดาคนที่เข้ามาลงทุนกับ BlockFi มีกองทุนรายใหญ่ เช่น Bain Capital Venture, Tiger Global และมีรายงานว่ากองทุนเว็นเจอร์แคปิตอล Valar Ventures ของมหาเศรษฐี ปีเตอร์ ธีล ผู้ร่วมก่อตั้งเพย์พาล ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทด้วย โดยมีหุ้นอยู่ใน BlockFi 19%
และแม้แต่กองทุนเทคโนโลยีในประเทศไทยอย่าง "SCB 10X" จากกลุ่มไทยพาณิชย์ ก็เข้ามาลงทุนด้วย (รอบ Series C) แต่ SCB 10X ระบุว่า มีการลงทุนอยู่ไม่ถึง 1% ของพอร์ต
เกิดอะไรขึ้นกับ BlockFi?
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 65 BlockFi ได้ยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายต่อศาลแขวงในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ เพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย (Chapter 11)
ในเอกสาร 41 หน้าที่ยื่นต่อศาล มีรายละเอียดระบุว่า บริษัทมีเจ้าหนี้มากกว่า 100,000 ราย มีหนี้สินและทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 - 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 35,500 - 355,000 ล้านบาท)
ทำไม BlockFi ถึงเจ๊งจนต้องยื่นล้มละลาย?
มาร์ก เรนซี กรรมการผู้จัดการบริษัท เบิร์กลีย์ รีเสิร์ช กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ BlockFi ให้ 3 เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้บริษัทต้องยื่นล้มละลาย คือ
ใครเป็น 'เจ้าหนี้' และ 'ลูกหนี้' ของ BlockFi บ้าง?
ในเอกสารที่ยื่นต่อศาล บริษัทมีเจ้าหนี้อยู่กว่า 1 แสนราย และในบรรดาเจ้าหนี้รายใหญ่ 50 อันดับแรก มีมูลหนี้รวมประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.6 หมื่นล้านบาท)
เจ้าหนี้เบอร์ 1 คือ กองทุนในสหรัฐที่ชื่อว่า Ankura Trust ซึ่งมีมูลหนี้ 729 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยอันดับ 2 "FTX" อดีตแพลตฟอร์มเทรดคริปโทฯ เบอร์ 2 ของโลกที่เพิ่งยื่นล้มละลายไปก่อนหน้านี้ โดยมีมูลหนี้ 275 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) หรือ ก.ล.ต.สหรัฐ ก็ยังเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้ด้วย เพราะ BlockFi ยังติดค้างค่าปรับอยู่ 30 ล้านดอลลาร์ จากทั้งหมด 100 ล้านดอลลาร์ี่ถูกตัดสินลงโทษไปเมื่อต้นปี 2022 นี้
ส่วนทางด้าน "ลูกหนี้" นั้น แม้รายงานข่าวจะไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทที่เป็นลูกหนี้กู้ยืมมาจาก BlockFi อย่างชัดเจน แต่ก็มีการเปิดเผยว่า 1 ในนั้นคือ Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ FTX ที่ติดหนี้อยู่ 680 ล้านดอลลาร์ ในรูปแบบของตราสารอนุพันธ์ CLO
ตลาดคริปโทฯ มีปฏิกิริยารับข่าวนี้อย่างไร?
หลังรับรู้ข่าวเมื่อคืนที่ผ่านมา บรรดาคริปโทเคอร์เรนซีก็พากันร่วงยกแผง นำโดย Bitcoin ซึ่งดิ่งลงประมาณ 2.8% สู่ระดับ 16,088.79 ดอลลาร์ เมื่อเวลา 23.11 น. วานนี้ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase
นายมาร์ค โมเบียส ผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส ซึ่งคร่ำหวอดการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) และตลาด Frontier markets กล่าวว่า บิตคอยน์ยังคงมีแนวโน้มดิ่งลงต่อไป โดยอาจลงไปแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งตัวเขาเองจะไม่นำเงินของตนเอง หรือเงินของลูกค้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์ก็ไม่หลุดระดับ 16,000 ดอลลาร์ และทยอยปรับตัวกลับมาบวกขึ้นช่วงเช้าวันนี้ (29 พ.ย.)