ในช่วงนี้ ประเด็นหนึ่งที่น่าจะเป็นที่ถกเถียงกันหนาหูประเด็นหนึ่งคือเรื่อง ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ หลังพรรคเพื่อไทยออกมาประกาศนโยบายว่าจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 600 บาทต่อวันภายในปี 2027 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ทำให้มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นมากมาย
บางคนเห็นด้วย เพราะมองว่าค่าครองชีพขึ้นสูงจนประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยรายได้ขั้นต่ำแล้ว บางคนก็ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าจะเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ และจะกระตุ้นให้นายจ้างเลิกจ้างงาน
แม้คอนเซปของค่าแรงขั้นต่ำจะถูกกำหนดไว้ให้เป็นมาตรฐานสำหรับแรงงานและหลายประเทศก็มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเหมือนไทย แต่เคยสงสัยมั้ยว่า แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมีต้นกำเนิดมาจากไหน ตกลงแล้วค่าแรงขั้นต่ำเป็นสิ่งที่ควรมีหรือไม่มี ทำไมบางคนอยากให้ปรับขึ้น ทำไมบางคนอยากให้คงไว้เท่าเดิม
ในบทความนี้ ทีมข่าว Spotlight จะมาสรุปให้อ่านกัน
จุดกำเนิดค่าแรงขั้นต่ำเพื่อปกป้องแรงงานผู้หญิง และเด็ก
แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 หลังมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม และวิธีการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ขึ้นมา ทำให้ยุคนั้นเกิดโรงงานเป็นจำนวนมาก แต่แม้ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะทำให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดในหลายๆ พื้นที่ แต่ระบบตลาดเสรีนี้ก็เปิดช่องให้นายทุนหรือเจ้าของกิจการกดค่าแรงของลูกจ้างให้ต่ำที่สุดเพื่อเพิ่มผลกำไร โดยเฉพาะลูกจ้าง ‘ผู้หญิง’ และ ‘เด็ก’ ที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพแรงงาน และไม่มีกำลังในการเจรจาต่อรองค่าจ้างให้ตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ กฎหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำในยุคแรกจึงเน้นปกป้องแรงงานผู้หญิง และเด็ก หรือแรงงานในบางภาคส่วนที่มีแนวโน้มจะถูกเอาเปรียบเช่น ผู้ทำความสะอาดบ้าน
นิวซีแลนด์ ประเทศแรกที่ออกกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ
โดยประเทศแรกที่ออกกฎหมายรายได้ขั้นต่ำคือ นิวซีแลนด์’ ในปี 1894 ตามมาด้วยออสเตรเลียในปี 1896 โดยทั้งหมดเน้นปกป้องแรงงานผู้หญิง และมีหลักการในการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำคือ ต้องเป็นค่าแรงในระดับที่ ‘เพียงพอที่ใช้เลี้ยงชีพ หรือมีชีวิตรอดในสังคมได้’
และแนวคิดนี้เองก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้แรงงานในหลายๆ ประเทศลุกขึ้นมาเรียกร้องให้เพิ่มค่าแรงของตัวเองบ้าง อย่างเช่นใน ‘สหรัฐอเมริกา’ ที่เกิดการประท้วงของแรงงานหลายครั้ง ในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น
เหตุการณ์ประท้วงเหล่านี้ทำให้ประเทศสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Fair Labor Standards Act เพื่อกำหนดค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศในปี 1938 โดยกำหนดค่าแรงขั้นต่ำไว้ที่ 0.25 เซนต์ต่อชั่วโมง ปรับค่าเงินเฟ้อเป็นปัจจุบันแล้วอยู่ที่ 5.1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อชั่วโมง
และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แนวคิดเรื่องการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำก็แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นมาตรฐานในการคุ้มครองแรงงาน โดยหลายๆ ประเทศทยอยออกกฎหมายมาในช่วง 1960s-1990s โดยประเทศล่าสุดที่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำคือ เคปเวิร์ด (Cape Verde) ในปี 2014 ในปัจจุบันประเทศประมาณ 90% ของโลกมีกฎหมายเพื่อกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ
ค่าแรงขั้นต่ำในไทยมีตั้งแต่เมื่อไหร่?
ประเทศไทยมีการประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่าขึ้นบังคับใช้เป็นคร้ังแรก เมื่อวันที่ 16 เมษายน ปี 1973 โดยให้คํานิยามค่าจ้าง ขั้นต่ำว่า “อัตราค่าจ้างที่ช่วยให้แรงงานพร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัวอีก 2 คน มีรายได้ เพียงพอเพื่อการใช้จ่ายให้ดํารงชีพอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคม” โดยตั้งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อวันที่ 12 บาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน รัฐได้เปลี่ยนคํานิยามค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ว่าหมายถึง “อัตราค่าจ้างที่เพียงพอสำหรับแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน 1 คน (ไม่รวมสมาชิกในครอบครัว) ให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น”
นิยามใหม่นี้ทำให้มาตรฐานการคุ้มครองลูกจ้างลดต่ำลงจากนิยามแรกที่รวมถึงการครองชีพของคนในครอบครัวที่อาจไม่ได้ทำงานที่ได้รับค่าแรง เช่น แม่บ้านที่ต้องดูแลลูก หรือบิดามารดาที่ป่วยหรือสูงอายุจนไม่สามารถทำงานได้ รวมไปถึงไม่สอดคล้องกับแนวคิดค่าแรงขั้นต่ำระดับนานาชาติในปัจจุบันที่กำหนดโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ต้องครอบคลุมทั้งความต้องการของแรงงานและครอบครัวด้วย
วิธีคิดอัตราค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย และยุคไหนที่ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นถี่ที่สุด?
ในปัจจุบัน การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำของไทยเป็นหน้าที่ของ ‘คณะกรรมการค่าจ้าง’ ที่ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายรัฐ นายจ้าง และลูกจ้างฝ่ายละ 5 คน
ในการพิจารณาปรับค่าแรงในแต่ละครั้ง คณะกรรมการค่าจ้างมักจะพิจารณาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ ทำให้บางปีไม่มีการเพิ่มค่าแรง นอกจากนี้ในกรณีปกติ การเพิ่มค่าแรงจะปรับขึ้นเป็นขั้นบันได (Sliding Scale) โดยคํานึงถึงบริบทของแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นท่ี ทำให้ในแต่ละจังหวัดมีค่าแรงขั้นต่ำไม่เท่ากัน และจะพิจารณาจากหลายปัจจัย คือ
ตั้งแต่ปี 1973 ประเทศไทยมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำมาแล้วหลายครั้ง รัฐบาลที่มีการปรับขึ้นค่าแรงถี่ที่สุดคือรัฐบาล 2 สมัยของ ทักษิณ ชินวัตร คือมีการปรับค่าแรงขึ้น 6 ครั้ง ในรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการปรับขึ้นค่าแรงมาแล้ว 4 ครั้ง โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ในช่วง 328-354 บาท จังหวัดที่มีค่าแรงสูงที่สุดคือ ภูเก็ต ชลบุรี และระยอง
ทำไมการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงเป็นหัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงในหลายประเทศ
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเป็นการเข้ามา ‘แทรกแซง’ ระบบตลาดเสรีของรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ‘อุด’ ช่องโหว่ในระบบตลาดเสรีและทุนนิยมที่เปิดให้เจ้าของทุนแสดงว่าผลกำไรสูงสุดได้ด้วยการกดค่าแรงของลูกจ้าง ทำให้นายทุนต้องจ่ายค่าแรงให้สมน้ำสมเนื้อกับมูลค่าที่ลูกจ้างแต่ละคนสร้างได้ โดยคิดถึงสภาพความเป็นอยู่ของลูกจ้างเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ ‘สนับสนุน’ให้มีการกำหนดหรือเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ มักมีเหตุผลรับรองดังนี้
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็อาจส่งผลเสียได้หากไม่มีการออกแบบนโยบายร่วมมาควบคุมไม่ให้การขึ้นค่าแรงส่งผลกระทบอย่างฉับพลันต่อระบบ โดยฝ่ายที่ ‘ต่อต้าน’ ไม่ให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมักมีเหตุผลรองรับดังนี้
จากเหตุผลจากทั้ง 2 ฝ่ายจะเห็นได้ว่าการปรับขึ้นค่าแรงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และสามารถทำให้เกิดปัญหาไม่ว่าจะปรับขึ้นหรือไม่ เพราะการบังคับให้แรงงานรับค่าแรงที่ต่ำจนทำให้ไม่สามารถเอาชีวิตรอดต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่บริษัทใหญ่รายงานการเติบโตในทั้งทางรายได้และผลกำไรทุกปี เป็นการลิดรอนสิทธิของมนุษย์จำนวนมากในการใช้ชีวิต และพัฒนาศักยภาพของตัวเอง และถือว่าเป็นการเอาเปรียบแรงงาน
ในทางกลับกัน เมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว เจ้าของธุรกิจรายเล็กอาจต้องออกจากธุรกิจ หรือรายใหญ่อาจรู้สึกว่าถูกบังคับให้เพิ่มราคาสินค้าเพราะต้องการให้กำไรเติบโตเท่าเดิมหรือมากขึ้น และอาจทำให้ของแพงขึ้น และเร่งให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
นี่ทำให้ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันในทุกประเทศ และต้องการการวางแผนอย่างดีเพื่อให้การขึ้นค่าแรงในแต่ละครั้งไม่ส่งผลกระทบรุนแรงจนกลายเป็นส่งผลเสียต่อแรงงานและระบบเศรษฐกิจมากกว่าผลดี และอาจต้องใช้นโยบายร่วมเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจรายย่อยจะสามารถอยู่รอดได้ และธุรกิจรายใหญ่จะจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้เหมาะสมกับมูลค่าที่แรงงานผลิตให้บริษัท และเพียงพอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมได้จริง โดยที่ไม่ฉวยโอกาสและใช้อำนาจที่มีกดค่าแรงให้ต่ำที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
ที่มา: ILO, Investopedia, Forbes, PBS Origins