การให้ ‘ทิป’ (Tip) แก่พนักงานเมื่อทานอาหารที่ร้านเสร็จสิ้น คือ หนึ่งในภาพจำของหลายคนเมื่อพูดถึงสหรัฐอเมริกา ทั้งการได้เดินทางไปประสบพบเอง หรือเคยเห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องให้พนักงานก็ไม่ได้มีการกำหนดไว้อย่างตายตัว แต่เรื่องหนึ่งที่รู้แน่ชัด คือ ‘ทิป’ นับเป็นรายได้ที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษี
ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ (Donald Trump) ออกมาประกาศว่า จะยกเลิกการเก็บภาษีรายได้จากการทำงานล่วงเวลา (Over Time) เงินได้จากประกันสังคม (Social Security Payment) รวมถึง ค่าทิปของพนักงานบริการ นโยบายนี้ทำให้ทรัมป์ได้รับคะแนนเสียงอย่างล้นหลามจากชาวอเมริกัน แต่ก็ตีคู่มากับความกังวลว่า การยกเลิกการเก็บภาษีจะทำให้รัฐบาลกลางสูญเสียรายได้ ซึ่งมุมมองทั้งสองด้านนี้สะท้อนความสำคัญของการให้ทิป ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวอเมริกันที่คนหลายชาติยังไม่ค่อยเข้าใจ
เมื่อพิจารณาจากหน้าประวัติศาสตร์จะพบว่า การให้ทิปไม่ได้เริ่มต้นขึ้นที่สหรัฐฯ แต่เกิดขึ้นในยุโรปที่ชนชั้นสูงจะให้เงินพิเศษแก่คนรับใช้ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี โดยช่วงศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันที่ร่ำรวยเริ่มเดินทางไปยังยุโรป และนำวัฒนธรรมการให้ทิปของชนชั้นสูงกลับมายังสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงแรกนั้นถูกต่อต้านอย่างมาก โดยฝั่งที่ไม่เห็นด้วยระบุว่า การให้ทิปทำให้เกิดชนชั้นแรงงานที่ขอเงินจากการเอาอกเอาใจ
อย่างไรก็ตาม การให้ทิปของชาวอเมริกันก็ยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และมีความซับซ้อนที่แม้แต่คนในชาติก็ยังสับสน เพราะการให้ทิปไม่ใช่ข้อบังคับ และไม่ได้มีการกำหนดที่ตายตัวว่า ต้องให้ทิปครั้งละเท่าไร ซึ่งในช่วงแรกนั้น การให้ทิปเป็นไปในรูปแบบของสินน้ำใจ เพื่อเป็นขอบคุณและชื่นชมการบริการของพนักงานมากกว่า หากพอใจมากก็ให้มาก หากพอใจน้อยก็อาจจะไม่ให้ ไม่ได้มีการทักท้วงหรือเรียกร้องแต่อย่างใด
ปัจจุบัน การให้ทิปของชาวอเมริกันเรียกได้ว่า จริงจังมากขึ้น เพราะหลายครั้งที่ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องเผชิญกับความขุ่นเคืองหากพวกเขาลืมให้ทิป หรือให้ในจำนวนที่น้อยเกินไป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว จึงได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพื่อช่วยลดความสับสน และอำนวยความสะดวกในการให้ทิป เช่น เครื่องชำระเงินที่มีเมนูให้เลือกก่อนชำระเงินว่าคุณต้องการให้ทิปพนักงานเท่าไร
ซึ่งการให้ทิปในสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดจะถูกคิดเป็นร้อยละของค่าอาหารและเครื่องดื่ม เช่น 10% 20% หรือ 30% โดยการให้ทิปพนักงานสำหรับบริการในร้านอาหารของสหรัฐฯ มักจะเริ่มต้นที่ 15 - 20% ของราคาค่าอาหาร หรืออย่างน้อยที่สุดคือ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 35 บาท) สำหรับเครื่องดื่มสักแก้วในบาร์
ในความเป็นจริงแล้ว การให้ทิปในสหรัฐฯ ไม่ใช่กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถอธิบายความขุ่นเคืองจากการที่ลูกค้าลืมให้ทิปพนักงานหรือให้ในจำนวนที่น้อยเกินไป คือ ค่าแรงของพนักงานในอุตสาหกรรมบริการที่ได้รับทิปนั้นจะต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐฯ มาก ซึ่งเกิดจากกฎหมาย Subminimum Wage ที่กำหนดให้มีการจ้างงานบุคคลบางกลุ่มในอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำตามกฎหมาย เช่น นักศึกษาที่ทำงานพาร์ตไทม์ และพนักงานบริการที่ได้รับค่าทิป
ปัจจุบัน หลายรัฐในสหรัฐฯ มีความพยายามในการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการจ้างงาน แต่เรื่องนี้ก็ยังมีแรงต้านจากกลุ่มนายจ้าง เพราะว่าพวกเขาต้องจ่ายค่าแรงที่มากขึ้น ดังนั้นการประกาศยกเลิกการเก็บภาษีรายได้จากทิปของทรัมป์ จึงได้รับการสนับสนุนจากทั้งนายจ้างที่ไม่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น และพนักงานบริการที่จะได้รับรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง