ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ภายใต้ชื่อ "ทรัมป์ 2.0" กำลังสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย การเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีนำเข้า การจำกัดการอพยพ หรือการปรับลดการสนับสนุนด้านการป้องกันประเทศ ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระดับโลก
ในบทความนี้เราจะวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ทั้งในมิติของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยพิจารณาถึงโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญในยุคของการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังอาจมีผลต่อกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศไทยในอนาคต
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ 47 และเตรียมตัวกลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้ง ตามการคาดการณ์ของสำนักต่าง ๆ ที่เผยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง หลังจากที่ทรัมป์สามารถเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต กมลา แฮร์ริส ด้วยคะแนนที่สูงกว่ามาก นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันของทรัมป์ยังสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (Republicans Sweep)
ทรัมป์มีแนวนโยบายที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และความมั่นคงด้านพลังงานมากกว่าการแก้ปัญหาภูมิอากาศ โดยคาดว่าจะเน้นการกีดกันการค้าและเพิ่มความเข้มงวดในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ
ในระหว่างการหาเสียงครั้งที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กล่าวถึงนโยบายที่สำคัญ ได้แก่:
(1) การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 60 คะแนนเปอร์เซ็นต์ และสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อีก 10 คะแนนเปอร์เซ็นต์
(2) การจำกัดการอพยพเข้าเมืองของคนต่างชาติ โดยจะยกเลิกและขับไล่ผู้ที่ข้ามแดนผิดกฎหมาย รวมถึงการจำกัดการข้ามแดนที่ถูกกฎหมาย และการชะลอการอนุมัติวีซ่าจากต่างประเทศ
(3) การลดการสนับสนุนด้านการป้องกันประเทศให้แก่พันธมิตร เช่น ยูเครน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เพื่อให้เหล่าพันธมิตรพึ่งพาตนเองด้านกำลังทหารมากขึ้น
(4) การให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงานเหนือการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยจะสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันต่อไป
(5) การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและผู้มีฐานะมั่งคั่ง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับปัญหาขาดดุลการคลังและเพิ่มภาระหนี้สาธารณะ
การเลือกตั้งที่ออกมาผลักดันให้พรรครีพับลิกันสามารถควบคุมสภาได้ทั้งหมด ทำให้ทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ ได้เต็มที่ แม้ว่าบางประเด็นอาจเป็นเพียงเครื่องมือในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศต่าง ๆ และอาจไม่ได้ดำเนินการตามนโยบายเหล่านี้ในรูปแบบที่เต็มเปี่ยม
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 จะมีผลลบต่อประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ และเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก
เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต SCB EIC ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยใช้สมมติฐานจากการวิเคราะห์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในรายงาน World Economic Outlook (WEO) ประจำเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจผ่านช่องทางการค้าและการลงทุน การวิเคราะห์นี้ช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
การศึกษาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในรายงาน World Economic Outlook (WEO) ประจำเดือนตุลาคม 2024 ได้พิจารณาผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจโลกผ่าน 5 ช่องทางหลัก ได้แก่
(1) นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้า
ทรัมป์ 2.0 มีแนวโน้มที่จะขึ้นภาษีนำเข้า โดยสหรัฐฯ ยุโรป และจีนจะเพิ่มภาษีนำเข้าระหว่างกัน 10 คะแนนเปอร์เซ็นต์ (pp.) ขณะที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ อีก 10 pp. ทั้งนี้ ประเทศต่าง ๆ จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเช่นกัน สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีสัดส่วนประมาณ 25% ของมูลค่าการค้าโลก หรือประมาณ 6% ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก โดยผลกระทบจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่กลางปี 2025 ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงประมาณ 0.3 pp. ในช่วงปี 2025-2030
(2) ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าโลก
การขึ้นภาษีและการตอบโต้จากประเทศต่าง ๆ จะนำไปสู่ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้า ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปจะลดลงราว 4% เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีนโยบายของทรัมป์ ขณะที่จีนและประเทศอื่น ๆ จะได้รับผลกระทบครึ่งหนึ่งจากสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกจะเริ่มได้รับผลกระทบตั้งแต่กลางปี 2025 และผลกระทบจะค่อย ๆ ลดลงจนหมดไปในปี 2027
(3) นโยบายการลดภาษี
สหรัฐฯ มีแผนที่จะต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจ (Tax Cuts and Jobs Act หรือ TCJA) ไปอีก 10 ปีจนถึงปี 2034 หลังจากมาตรการเดิมหมดอายุในปี 2025 ซึ่งจะทำให้ภาษีเงินได้จากธุรกิจลดลง 4% ของ GDP ในช่วงเวลาดังกล่าว ผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจโลกจะเป็นบวก 0.1 pp. ในช่วงปี 2025-2030 โดยหลักมาจากผลกระทบทางบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้เศรษฐกิจประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบทางลบเนื่องจากสูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุน
(4) นโยบายกีดกันผู้อพยพ
สหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มที่จะกีดกันผู้อพยพมากขึ้นตั้งแต่กลางปี 2025 ส่งผลให้กำลังแรงงานในสหรัฐฯ และยูโรโซนลดลง 1% และ 0.75% ตามลำดับภายในปี 2030 โดยผู้อพยพเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในสองภูมิภาคนี้ การลดลงของแรงงานจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโลกรวม 0.2 pp. ในช่วงปี 2025-2030
(5) ภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์ 2.0 จะส่งผลให้ภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่มีการเงินภาครัฐที่สูง เช่น สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนสูงขึ้น โดยคาดว่า Sovereign premiums ในตลาดเกิดใหม่ (ยกเว้นจีน) จะเพิ่มขึ้น 50 bps, Corporate premiums จะเพิ่มขึ้น 50 bps ในจีนและประเทศพัฒนาแล้ว, และเพิ่มขึ้น 100 bps ในประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ขณะที่ Term premiums จะเพิ่มขึ้น 40 bps ในสหรัฐฯ และ 25 bps ในยูโรโซน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นลบต่อเศรษฐกิจโลก แต่ผลกระทบนี้จะค่อย ๆ ลดลงในปี 2028
จากการศึกษาของ IMF ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจโลกจะเริ่มปรากฏในปี 2025 และเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลง 0.8 pp. ในปี 2026 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีนโยบายชุดนี้ แต่ในปี 2027 เศรษฐกิจโลกจะเติบโตเพิ่มขึ้น 0.2 pp. เนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าค่อย ๆ ลดลงและปัจจัยฐานต่ำ ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะกลางจะลดลงรวม 0.4 pp. เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีนโยบายนี้
สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 จะมีผลกระทบทั้งในเชิงลบและเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก โดยผลกระทบหลักจะมาจากมาตรการกีดกันและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในด้านการค้าและการลงทุน ในขณะที่นโยบายการลดภาษีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะยังคงเป็นลบในระยะปานกลาง โดยเฉพาะในด้านของการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้นจากนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะจากผลกระทบด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งเป็นสองปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนี้
ด้านการส่งออกสินค้า
นโยบายกีดกันการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างกว้างขวางของสหรัฐฯ กำลังส่งผลกดดันให้การค้าโลกชะลอลง และส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย โดยการขึ้นกำแพงภาษีทำให้การขยายตัวของการส่งออกสินค้าหลักของไทย เช่น คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจะทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทน ตลาดสินค้าจีนที่มีการผลิตมากเกินไป (Overcapacity) จึงอาจทะลักเข้ามายังตลาดอื่น โดยเฉพาะในไทย ซึ่งจะกระทบทางอ้อมให้ผู้ผลิตไทยเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้จะส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตของไทยฟื้นตัวได้ช้าลง SCB EIC ประเมินว่าในปี 2025 มูลค่าการส่งออกของไทยจะลดลงประมาณ 0.8 – 1 pp. จากผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น
ด้านการลงทุน
ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของทรัมป์จะส่งผลให้ภาวะการลงทุนในไทยชะลอตัว นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ที่พยายามดึงการลงทุนกลับไปยังประเทศตนเอง SCB EIC ประเมินว่าในปี 2025 การลงทุนภาคเอกชนในไทยจะลดลงประมาณ 0.4 – 0.5 pp. จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าและการลงทุนโลกที่เพิ่มขึ้น
ในภาพรวม SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2025 ต่ำลงจากแนวโน้มเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการที่การส่งออกไทยถูกกดดันจากการชะลอตัวของการค้าโลก และการลงทุนในไทยที่ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากต่างชาติได้เต็มที่ โดยจากผลการศึกษาของ IMF (Oct24) พบว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะลดลงประมาณ 0.5 pp. เมื่อเทียบกับแนวโน้มเดิมก่อนรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงจากมาตรการกีดกันการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
แม้ว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการกีดกันการค้าและการลงทุนจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าเผชิญกับการขยายตัวที่ต่ำลง แต่ในระยะกลาง SCB EIC ประเมินว่า ผลกระทบจากนโยบายกีดกันระหว่างประเทศในหลายมิติจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้กระบวนการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจในโลกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าโลก
ในโลกที่ขั้วเศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มแยกตัวออกจากกัน การพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศที่มีอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจแตกต่างกันจะลดลง โดยประเทศเหล่านี้จะหันมาพึ่งพาประเทศที่มีบทบาทเป็นกลาง (Neutral stance) มากขึ้น หากประเทศไทยสามารถรักษาบทบาทนี้ได้ในภูมิรัฐศาสตร์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน (Trade and investment diversion) โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับไทยได้
ดังนั้น นโยบายของประเทศไทยในการเตรียมรับมือกับโลกที่กำลังแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นภายใต้ทรัมป์ 2.0 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสองด้านหลัก ได้แก่ (1) นโยบายเร่งด่วนในระยะสั้นเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้าจากจีน ที่อาจเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น และ (2) นโยบายในระยะยาวที่มุ่งปรับตัวเพื่อเตรียมคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในกระแสการค้าและการลงทุนโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้าของไทยในอนาคต