ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน สกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกจับตามอง ด้วยมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Bitcoin จึงเป็นมากกว่าแค่สกุลเงิน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลอีกด้วย
กระแสคริปโทเคอร์เรนซียังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Bitcoin ที่สร้างสถิติราคาพุ่งทะยานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 99,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,465,000 บาทต่อ 1 Bitcoin เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ล่าสุดได้เกิดกระแสฮือฮาในวงการลงทุนอีกครั้ง เมื่อนายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือ แอ็คมี่ นักธุรกิจนักลงทุนชื่อดัง และซีอีโอของบริษัท Fintech “บิทแนนซ์” ได้ออกมาประกาศผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเชิญชวนให้ประเทศไทยพิจารณาใช้ Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรองระหว่างประเทศ
แอ็คมี่ให้เหตุผลสนับสนุนแนวคิดนี้ว่า Bitcoin นั้นมีศักยภาพในการเป็นสกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก และการที่ประเทศไทยนำ Bitcoin มาเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรอง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนในระดับภูมิภาค
"ผมมองว่า Bitcoin ไม่ใช่แค่สกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้" แอ็คมี่กล่าว "การนำ Bitcoin มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรอง จะช่วยให้ประเทศไทยมีความหลากหลายทางการเงินมากขึ้น และสามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดียิ่งขึ้น"
สำหรับประวัติของแอ็คมี่นั้น เขาถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทย โดยเริ่มศึกษาและลงทุนใน Bitcoin ตั้งแต่ปี 2012 หรือเพียง 3 ปีหลังจากที่ Bitcoin ถูกพัฒนาขึ้นมา ซึ่งในขณะนั้น Bitcoin ยังไม่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แอ็คมี่ได้เล่าประสบการณ์การลงทุนใน Bitcoin ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ว่า เขาได้เริ่มขุด Bitcoin ด้วยตนเอง และมีการสะสม Bitcoin จำนวนมาก จนปัจจุบันเขาถือเป็นหนึ่งในผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการนำ Bitcoin มาใช้เป็นกองทุนสำรองนั้นยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความเห็นแตกต่างในวงกว้าง เนื่องจาก Bitcoin มีความผันผวนสูง และยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ Bitcoin ในประเทศไทย
ข้อเสนอของแอ็คมี่ในการนำ Bitcoin มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย จุดประกายให้เกิดการถกเถียงและตั้งคำถามถึงอนาคตของเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล แม้ว่า Bitcoin จะมีศักยภาพในการเติบโตและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่ความผันผวนของมูลค่าและความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
นอกเหนือจากประเด็นเหล่านี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาควบคู่กันไปด้วย เช่น ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของระบบนิเวศคริปโทเคอร์เรนซี ที่ยังคงมีความเสี่ยงจากการโจรกรรม การแฮ็ก และการฉ้อโกง รวมถึงความพร้อมทางด้านกฎหมายและข้อบังคับของประเทศไทย ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการควบคุมดูแลการใช้ Bitcoin ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำ Bitcoin มาใช้ในระดับประเทศ และที่สำคัญ ประเทศไทยยังต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการใช้งาน Bitcoin ในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของแอ็คมี่ เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดนอกกรอบ และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้มองไปข้างหน้า ถึงบทบาทของสกุลเงินดิจิทัลในอนาคต การศึกษา การวิจัย และการพัฒนาอย่างจริงจัง จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยคำนึงถึงทั้งโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ประเทศไทยไม่ควรมองข้ามศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถคว้าโอกาส และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคได้ในอนาคต
นายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือที่รู้จักกันในนาม "แอ็คมี่" นักธุรกิจและเทรดเดอร์ชื่อดังของไทย ได้เปิดเผยถึงเส้นทางการลงทุน Bitcoin ของเขา โดยเริ่มจากการนำ Bitcoin บางส่วนมาต่อยอดสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในธุรกิจหลากหลายทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยเน้นที่เมืองดูไบเป็นหลัก ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท (300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ครอบคลุมทั้งอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury ธุรกิจบริการ และบริการด้าน Fintech ในปี 2023 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายวรวัฒน์ยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่เคยสร้างปรากฏการณ์แจก Bitcoin มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2017 ผ่านกิจกรรมให้ความรู้เรื่องสกุลเงินดิจิทัลที่ Show DC ซึ่งในงานเขาได้แจก Bitcoin ให้กับแฟนเทรดจำนวน 1,690 คนที่เข้าร่วมงาน เป็นจำนวนกว่า 13 BTC และครั้งที่ 2 ในปี 2021 เขาได้จัดกิจกรรมแจก Bitcoin อีก 3 BTC ให้กับแฟนเทรดและแฟนคลับทั่วโลกจำนวน 5,601 คน กลางงานคอนเสิร์ตของวง DoubleDeep (วงดนตรีที่มีเพลงฮิตอย่าง “Bitcoin (ฝันใหม่)” ซึ่งสร้างจากประสบการณ์ชีวิตจริงของเขา) โดยการแจก Bitcoin ทั้งสองครั้งรวมเป็นจำนวนกว่า 16 BTC คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 55,440,000 บาท (อ้างอิงจากมูลค่า Bitcoin ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024 ข้อมูลจากเว็บไซต์ Investing)
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2021 นายวรวัฒน์ยังได้ก่อตั้งสกุลเงินดิจิทัล หรือเหรียญคริปโตในชื่อ ACT (ACET) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ถือครองเหรียญทั่วโลกกว่า 150,000 คน โดยเหรียญ ACT (ACET) มีมูลค่าการซื้อขายรวมจนถึงปัจจุบันประมาณ 381,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,175,000,000 บาท
ความสำเร็จของนายวรวัฒน์ยังได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยในปี 2023 เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการเงิน จากมหาวิทยาลัยนานาชาติยุโรป หรือ European International University, EIU-Paris ในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลด้านวงการเทคโนโลยีการเงินของโลกที่ได้รับปริญญานี้
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่านายวรวัฒน์ถือครอง Bitcoin เป็นจำนวนเท่าใด แต่แหล่งข่าวในวงการคริปโตคาดการณ์ว่าเขาน่าจะถือครอง Bitcoin ไม่น้อยกว่า 11,000 BTC ซึ่งนั่นหมายความว่านายวรวัฒน์ถือครอง Bitcoin มากกว่ารัฐบาลของประเทศเอลซัลวาดอร์ทั้งประเทศถึง 2 เท่า โดยประเทศเอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกที่ประกาศให้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2021