สงครามการค้าระลอกใหม่ในยุคทรัมป์ 2.0 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และกำลังส่งผลกระทบต่อการค้าของประเทศต่างๆหนักเบาแตกต่างกันไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ถึงกลุ่มสินค้าที่เสี่ยงโดนสหรัฐฯขึ้นภาษีมีทั้งสิ้น 7 กลุ่มสินค้า และทั้ง 7 สินค้านี้ประเทศไทยของเรามีการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯสูงถึง 21%
การส่งออกของไทยกำลังได้รับผลกระทบแค่ไหน จากสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 SPOTLIGHT สรุปใจความสำคัญของบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยดังนี้
1. สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากลุ่มนี้ในมูลค่าสูงเป็นส่วนใหญ่
2. อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าคู่ค้า
3. สหรัฐฯ ต้องการสนับสนุนให้เกิดการผลิตในประเทศมากขึ้น โดยสินค้ากลุ่มนี้ มีซัพพลายเชนที่สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์เป้าหมาย ขณะที่ สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง/เคยผลิตได้แต่เริ่มเสี่ยงจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับไทยบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออก 7 ประเภทสินค้าเท่ากับ 21% เป็นสัดส่วนที่นับว่าไม่น้อย หรือ เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1 ใน 5 ของการส่งออกไปตลาดโลก น้อยกว่าเวียดนาม แต่มากกว่ามาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯมากที่สุดคือกลุ่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ในภาพรวมนับว่ามีพอสมควร เนื่องจากมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น 40% ของการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ และคิดเป็น 7.4% ของมูลค่าการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปตลาดโลกในปี 2567
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ยิ่งเมื่อในระยะหลัง การลงทุนในไทยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนจีน ทำให้มองไปข้างหน้ามีความเสี่ยงที่สินค้าส่งออกจากไทยจะถูกกีดกันมากขึ้น
ส่วนอีก 6 ประเภทสินค้า คงได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง แต่คงจำกัดกว่า เนื่องจากตลาดส่งออกมีการกระจายตัว โดยพึ่งพาจีนและอาเซียนด้วย จึงช่วยบรรเทาผลกระทบทางตรงได้บางส่วน
นอกจากนี้ บางประเภทสินค้าอาจได้รับอานิสงส์จากส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าใหม่เทียบกับเดิมที่น้อยกว่าคู่ค้าอื่น เช่น อะลูมิเนียม ที่เดิมไทยถูกเก็บภาษี 10% อยู่แล้ว หากทุกประเทศโดน 25% เท่ากัน อะลูมิเนียมจากไทยจะมีส่วนต่างน้อยกว่าคู่ค้าอื่น
เบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกระทบการส่งออกของไทยราว 0.5% และเราได้คำนึงถึงผลกระทบนี้แล้วระดับหนึ่งในประมาณการปี 2568
ผลทางอ้อมมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการที่คู่ค้าต่างๆ ต้องหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐฯ จะทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในตลาดไทยและตลาดส่งออกอื่นๆ ราคาสินค้าอาจปรับตัวขึ้นตามภาษี และอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ
ทั้งนี้หากเรานับตั้งแต่พิธีสาบานตนของทรัมป์ในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าอะไรกับคู่ค้าหลายประเทศ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคู่ค้า
1.เฉพาะเจาะจงคู่ค้า : สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปเพิ่ม 10% จากจีน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และเก็บเพิ่มอีก 10% ในวันที่ 4 มีนาคม ขณะเดียวกันก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไป 25% กับเม็กซิโก และแคนาดา (ยกเว้นกลุ่มพลังงานจากแคนาดา ขึ้น 10%) ในวันที่ 4 มีนาคม หลังเลื่อนมา 1 เดือน
2.ทุกคู่ค้า : สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มีนาคม และเตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% วันที่ 2 เมษายน พร้อมระบุถึง เซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งยังต้องรอการยืนยัน
นอกจากนี้ ทางการสหรัฐฯ กำลังจัดทำผลการศึกษา Reciprocal Tariff หรือภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจะทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนอีกด้วย
ที่มา:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย