“ทุเรียนไทย โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง มีรสชาติหวานมัน เนื้อเนียนนุ่ม กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์”
คือภาพจำของชาวจีนนักบริโภคทุเรียนที่มีต่อราชาแห่งผลไม้ไทย ประเทศไทยจึงยังคงเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ไปยังแดนมังกร แต่ดูเหมือนตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับหนึ่งที่เป็นของไทยมาตลอด กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะจีนเปิดโอกาสค้าขายทุเรียนให้เพื่อนบ้านของเรามากขึ้น ภายใต้ “การทูตทุเรียน” ที่เอาไว้ผู้สัมพันธ์กับกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะ เวลานี้ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จึงกลายมาเป็นคู่แข่ง แย่งส่วนแบ่งการตลาด ที่ไทยมองข้ามไม่ได้
ล่าสุด CNA รายงานว่า อินโดนีเซียกำลังพิจารณาเริ่มต้นส่งออกทุเรียนแช่แข็งไปยังจีนในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 หลังจากที่ทั้งสองประเทศหารือร่วมกัน ในวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-อินโดนีเซีย เนื่องจากตลาดจีนยังคงต้องการทุเรียนแบบมหาศาล แม้ปีที่แล้ว จีนได้นำเข้าทุเรียนจากต่างประเทศสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 237,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่อยู่ดี อินโดนีเซียจึงพุ่งเป้าเติมเต็มช่องว่างตรงนี้
“ปาริกี มูตง” อำเภอที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสุลาเวสีกลาง พื้นที่แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ดีสุดในประเทศอินโดนีเซีย แถมยังปลูก “ทุเรียนพันธุ์หมอนทอง” ได้ดี รสชาติออกมาหวานมัน ลูกใหญ่ เมล็ดเล็ก และเนื้อหนา ส่วนกลิ่นจะอ่อนลงมาหน่อย แต่กลับเป็นข้อดีสำหรับผู้บริโภคมือใหม่ที่เพิ่งรับประทานทุเรียน แม้ทุเรียนหมอนทองมีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทย แต่ปัจจุบันมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามด้วย
แม้ว่าทุเรียนหมอนทองแช่แข็งของอินโดนีเซียจะมีวางจำหน่ายในประเทศจีนแล้ว แต่ด้วยกฏระเบียบทางการค้าระหว่างไทยและจีน ทำให้หมอนทองของอินโดนีเซียต้องถูกส่งผ่านประเทศไทยเป็นหลัก หลังจากที่มีข่าวจีนเปิดทางให้ทุเรียนอินโดนีเซีย ก็ทำให้ผู้ค้าในอินโดนีเซียมองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้น
ด้านมูฮัมหมัด ตาฮีร์ กรรมการบริหารบริษัท พีที อัมมาร์ ดูเรียน อินโดนีเซีย กล่าวว่า หากอินโดนีเซียส่งสินค้าผ่านประเทศไทย จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะถึงจีน แต่ถ้าเราสามารถเดินทางจากท่าเรือเมืองปาลู บนจังหวัดสุลาเวสีกลาง ก็จะใช้เลาสัปดาห์เดียวเท่านั้น ในการบรรทุกทุเรียนตรงไปยังท่าเรือในจีน ขณะที่ต้นทุนการจัดส่งทุเรียนโดยตรงไปยังประเทศจีนจะคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการส่งออกผ่านประเทศไทย เมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้ส่งออกทุเรียนไปแล้ว 30 ตู้คอนเทนเนอร์ และคาดว่าจะเพิ่มการส่งออกเป็น 50 ตู้คอนเทนเนอร์ได้ หลังจากที่จีนเปิดเส้นทางตรงส่งสินค้าจากอินโดนีเซีย
จีนได้บังคับใช้มาตรการการส่งออกทุเรียนที่เข้มงวด โดยกำหนดให้เกษตรกรและซัพพลายเออร์จากต่างแดนปฏิบัติตามมาตรฐานตั้งแต่ขั้นตอนทางการเกษตร ไปจนถึงการเก็บรักษา บรรจุหีบห่อและขนส่ง ทางการอินโดนีเซียจึงเร่งกวดขันพัฒนาคุณภาพสินค้าและกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายทางในจีน ที่สำคัญ ห่วงโซ่อุปทานทุเรียนทั้งหมดยังต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้มีความโปร่งใสและรับผิดชอบตลอดกระบวนการส่งออก
อะหมัด มันซูรี อัลเฟียน หัวหน้าศูนย์กักกันสัตว์ ปลา และพืช ในจังหวัดสุลาเวสีตอนกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งบรรจุหีบห่อและพร้อมที่จะส่งออก จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับได้ สำนักงานกักกันโรคของอินโดนีเซียได้สร้างแอปพลิเคชันขึ้นมารองรับโดยเฉพาะ ซึ่งแอปพลิเคชันนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถสแกนบาร์โคดเพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์มาจากโรงบรรจุหรือสวนทุเรียนแห่งไหน
ขณะที่สวนทุเรียนในปาริกี มูตง ก็จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเช่นกัน ผู้อำนวยการ PT Silvia Amerta Jaya หนึ่งในโรงงานแปรรูปทุเรียน 14 แห่งในปาริกี มูตง ที่ได้จดทะเบียนส่งออกทุเรียนแช่แข็งไปยังประเทศจีนโดยตรง บริษัทแห่งนี้มีครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน 500 รายในพื้นที่ เผยว่า บริษัทยังคงต้องการเพิ่มจำนวนเกษตรกรเพื่อปลูกทุเรียนให้มากขึ้น โดยจะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ สอดคล้องกับหน่วยงานการเกษตรท้องถิ่นที่หวังที่จะให้เกษตรกรมีโดรนและเครื่องมือทางการเกษตรที่ทันสมัยมากขึ้น
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ในปีที่แล้ว (พ.ศ. 2567) ไทยส่งออกทุเรียนมากถึง 859,183 ตัน มูลค่าราว 3,755.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 134,852 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 72.9% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดทั้งหมดของไทย ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งก็ยังคงเป็นประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วน 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนสดของไทย อันดับที่ 2 เป็นฮ่องกง 1.3% อันดับที่ 3 เกาหลีใต้ 0.3% อันดับที่ 4 มาเลเซีย 0.2% และอันดับที่ 5 สหรัฐอเมริกา 0.2%
ปัจจุบัน การส่งออกผลไม้สดของไทยพึ่งพาจีนเป็นตลาดหลัก แต่ไทยกำลังเผชิญการแข่งขันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน เช่น ทุเรียนสด ไทยได้รับการอนุญาตให้นำเข้าจีนได้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มอนุญาตการนำเข้าทุเรียนสดจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกฎระเบียบการนำเข้าของจีนที่มีความเข้มงวดมากขึ้น
เวียดนามเป็นหนึ่งในคู่แข่งใหม่มาแรง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จีนนำเข้าทุเรียนจากเวียดนามเกือบ 618,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 2,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอัตราส่วนกว่า 44% ของการนำเข้าทุเรียนทั้งหมดของจีน
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า แนะนำให้ไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อที่จะรักษาส่วนแบ่งในตลาดจีนไว้ให้ได้ รวมถึงเร่งเจาะตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดที่มีการนำเข้าผลไม้จากโลกในสัดส่วนสูงแต่ไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนั้นไม่มาก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดจีน และลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น