รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้บริษัท Nvidia Corp. ต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อนการส่งออกชิปประมวลผลรุ่น H20 ไปยังประเทศจีน “อย่างไม่มีกำหนด” ซึ่งเป็นการยกระดับข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อสกัดกั้นการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภาคการทหารของจีน
มาตรการใหม่นี้ไม่เพียงส่งผลโดยตรงต่อจีน แต่ยังสร้างแรงสะเทือนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะ Nvidia ที่ออกมาเปิดเผยว่า บริษัทจะต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายต่อไตรมาสสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท จากการที่ไม่สามารถส่งออกชิปรุ่น H20 ไปยังตลาดจีนได้ ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทอื่นๆ ในซัพพลายเชนผลิตชิปของ Nvidia ลดลงทันทีหลังมีการรายงานข่าว
คำสั่งห้ามส่งออกดังกล่าวมีขึ้นเพียงหนึ่งวัน หลังมีข่าวว่าทรัมป์ตัดสินใจผ่อนคลายภาษีศุลกากรชั่วคราวต่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และชิปเซ็ต แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะยังคงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเป็นอาวุธหลักในสงครามเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับจีนต่อไป
H20 คือชิปประมวลผลที่ Nvidia ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น H100 และ H200 ไปยังจีนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากเกรงว่าจีนจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในทางการทหารหรือเพื่อสร้างความได้เปรียบในสมรภูมิการแข่งขันด้าน AI
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดดังกล่าว Nvidia จึงพัฒนาชิป H20 ขึ้นมาในปี 2023 โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบเดียวกับ H100 แต่ลดสเปกลงอย่างชัดเจน ทั้งในด้านแบนด์วิธ (Bandwidth) และความเร็วของการเชื่อมต่อระหว่างหน่วยประมวลผล (Interconnect Speed) เพื่อให้ไม่เข้าข่ายชิปต้องห้ามตามนิยามของกฎควบคุมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ แม้จะมีข้อจำกัดทางเทคนิค H20 ก็ยังคงมีศักยภาพสูงเพียงพอสำหรับการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในกระบวนการ inference ซึ่งเป็นขั้นตอนที่โมเดล AI นำข้อมูลที่ได้จากการฝึกมาใช้วิเคราะห์ ตอบคำถาม หรือดำเนินการต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP), การวิเคราะห์ข้อมูล, การแปลภาษา, ระบบแชทบอท และการแนะนำสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหวนคืนสู่ตำแหน่งในปี 2025 จึงตัดสินใจออกคำสั่งใหม่ให้ H20 ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมการส่งออกเช่นเดียวกับ H100 และ H200 โดยผู้ส่งออกต้องยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ก่อน “อย่างไม่มีกำหนด” เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังไหลเข้าสู่จีน แม้จะถูกลดสเปกไปแล้วก็ตาม
การตัดสินใจนี้ยังสะท้อนถึงความวิตกกังวลของสหรัฐฯ ต่อการเร่งพัฒนาด้าน AI ของจีน โดยเฉพาะการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น DeepSeek สตาร์ทอัพด้าน AI ที่เพิ่งเปิดตัวโมเดล R1 ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในต้นปี 2025 และมีรายงานว่าใช้ชิป H20 ในการฝึกฝนโมเดลดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน Huawei Technologies Co. ซึ่งถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำมาตั้งแต่ปี 2019 ก็ยังคงเดินหน้าวิจัยและออกแบบชิป AI ของตนเอง แม้จะยังตามหลัง Nvidia และ AMD อยู่ในด้านประสิทธิภาพ แต่ก็มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะลดการพึ่งพาชิปตะวันตก โดยในรายงานภายในของ Nvidia เองก็ระบุว่า Huawei เป็น “คู่แข่งโดยตรง” มาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น การควบคุม H20 จึงไม่ได้เกิดจากประเด็นทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ของสหรัฐฯ ในการควบคุมการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน โดยเฉพาะในช่วงที่จีนเร่งพัฒนาระบบ AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการทหาร ซึ่งอาจเปลี่ยนสมดุลอำนาจทางเทคโนโลยีของโลกในอนาคต
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อรายได้ของ Nvidia ในปีนี้ โดยบริษัทระบุว่า ผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าวจะทำให้ต้องบันทึก ค่าใช้จ่าย (writedown) ประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2026 จากสินค้าคงคลังและคำสั่งซื้อที่ไม่สามารถจัดส่งได้ตามแผน
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence อย่าง Kunjan Sobhani และ Oscar Hernandez ประเมินว่า หาก Nvidia ไม่สามารถส่งออก H20 ได้ตลอดทั้งปี 2025 รายได้จากธุรกิจชิป AI อาจหายไปสูงถึง 14,000 - 18,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะจากตลาดจีนที่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่
ตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลในปี 2024 ซึ่งระบุว่า H20 เพียงรุ่นเดียวสร้างรายได้ให้ Nvidia ถึง 12,000 - 15,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะเป็นชิปรุ่นลดสเปกจาก H100 และ H200 แต่ก็ยังได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะในจีนที่ยังต้องการชิปสำหรับงาน inference และการใช้งาน AI เชิงพาณิชย์จำนวนมาก
จีนถือเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 4 ของ Nvidia รองจากสหรัฐฯ สิงคโปร์ และไต้หวัน และยังเป็นตลาดสำคัญในแง่ปริมาณการใช้ชิป AI โดย เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยว่า รายได้จากจีนลดลง ถึงครึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่เริ่มมีมาตรการควบคุมของสหรัฐฯ
เมื่อพิจารณาจากมูลค่ารายได้ที่อาจหายไป มาตรการควบคุมการส่งออกชิป H20 จึงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าของ Nvidia เท่านั้น แต่ยังเน้นให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงจากนโยบายความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก
ข่าวการสั่งห้ามส่งออก H20 ทำให้ราคาหุ้น Nvidia ร่วงลงกว่า 6% ในตลาดสหรัฐฯ และลากหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ ทั่วโลกให้ปรับตัวลงตามในวันนี้ เช่น Advanced Micro Devices (AMD) คู่แข่งโดยตรงของ Nvidia ร่วงลง 7% และBroadcom ผู้ผลิตชิป AI อีกราย ร่วง 3.9%
ขณะเดียวกัน ซัพพลายเออร์หลักของ Nvidia ในเอเชียได้รับแรงกดดันเช่นกัน เช่น
นอกจากนี้ Ken Hui นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ยังเตือนว่า ความไม่แน่นอนจากการส่งออกไปจีนจะทำให้ TSMC ต้องชะลอแผนการขยายกำลังการผลิต ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอยู่แล้ว
การควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ เริ่มต้นในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยเริ่มจากการแบนชิป H100 และ H200 ในเดือนตุลาคม 2022 และขยายขอบเขตในปี 2023 ให้ครอบคลุม เครื่องจักรผลิตชิป หน่วยความจำแบนด์วิธสูง (HBM) และอุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างระบบฝึกโมเดล AI
ในช่วงปลายวาระของไบเดน ข้อจำกัดยังถูกขยายเพิ่มเติมให้ครอบคลุมกว่า 40 ประเทศ ที่อาจเป็น “เส้นทางเบี่ยง” ให้จีนเข้าถึงชิปต้องห้าม
เมื่อทรัมป์กลับเข้ามารับตำแหน่งในต้นปี 2025 ทีมเศรษฐกิจของเขาได้ระบุว่าจะ เดินหน้าเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการ ผ่านแนวทางใหม่ที่เรียกว่า AI Diffusion Rules ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะจำกัดไม่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ แต่รวมถึง “แพลตฟอร์ม AI ที่อาจเผยแพร่ได้ทั่วโลก
ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก NPR ว่าทรัมป์อาจจะผ่อนปรนข้อจำกัดต่อ H20 หาก Nvidia ยอมลงทุนในศูนย์ข้อมูล AI ภายในสหรัฐฯ ล่าสุด Nvidia ประกาศลงทุนสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายในประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการผ่อนปรนใดๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ
เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia ออกมาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ยังดำเนินมาตรการกีดกันอย่างเข้มข้น จะยิ่งทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองและ ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เร็วยิ่งขึ้น
เขายังเน้นว่า นักวิจัย AI กว่าครึ่งของโลกเป็นชาวจีน และจำนวนมากทำงานในแล็บภายในสหรัฐฯ หากนโยบายยังเข้มงวดเกินไป อาจ ทำลายระบบนิเวศของนวัตกรรมระดับโลกในระยะยาว
ขณะที่ ทาโมะ คิโนชิตะ นักกลยุทธ์ตลาดโลกจาก Invesco Asset Management ให้ความเห็นว่า มาตรการควบคุมล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นผลจาก “ความวิตกต่อการเติบโตของจีนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์” และไม่ใช่มาตรการระยะสั้น แต่จะกลายเป็น “นโยบายถาวร” ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก