หากนึกถึงประเทศที่มีอารยธรรมและความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม ทั้งสถาปัตยกรรม งานออกแบบ แฟชั่น สถานที่ท่องเที่ยว สิ่งมหัศจรรย์ และงานศิลปะชื่อดังระดับโลก อิตาลี คงจะเป็นประเทศแรกๆที่หลายคนนึกถึง
บทความนี้ SPOTLIGHT พาทุกคนมาท่องโลกศิลปะที่ทรงคุณค่าและมีอิทธิพลของอิตาลี จนสามารถต่อยอดสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้แก่ประเทศ
‘อิตาลี’ ประเทศที่หลายคนนึกถึงทั้งเรื่องอาหาร แฟชั่นหรูหรา สถาปัตยกรรม โดยหากพูดถึงอาหาร แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเมนูสุดคลาสิกอย่าง พิซซ่า สปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า ไปจนถึงต้นตำหรับไอศกรีม Gelato ส่วนหากพูดถึงแบรนด์ยี่ห้อรถ Super Car ที่อิตาลีก็มีทั้ง Ferrari, Lamborghini, Maserati หรือมอเตอร์ไซค์คันเก๋อย่างแบรนด์ Vespa
และที่ขาดไม่ได้ อิตาลี ยังเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นลักชูรี่ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Versace , Fendi, Valentino, Moschino, Giorgio Armani หรือ Botegga Veneta
อีกทั้งยังมีความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมแบบโกธิคและยุคเรอนาสซองส์ที่ทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลป์ อาคารบ้านเรือนที่สวยงาม มหาวิหาร และอิตาลี ยังเป็นประเทศบ้านเกิดของ 4 บุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์ในตำนานอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) บอตติเชลลี (Botticelli)
จากพลังแห่งการผลักดันพัฒนาศิลปะในทุกมิติของประเทศ ส่งผลให้อิตาลีมีความโดดเด่นทุกด้าน โดยเฉพาะในด้าน อาหาร แฟชั่น การท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้อิตาลี กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกและอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป (EU) ประเทศมีความมั่งคั่งเพราะธนาคารกลางอิตาลีมีสำรองทองคำมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย
แต่เส้นทางการขับเคลื่อนงานศิลปะของอิตาลีให้เข็มแข็ง ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ หาก ‘กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว’ (Rome was not built in a day) soft power ของอิตาลีก็สะสมมานานนับพันปี จนสามารถสร้างมูลค่าอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ
อิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีมรดกโลกที่จดทะเบียนกับ UNESCO มากที่สุดของโลก ถึง 58 แห่ง และยิ่งไปกว่านั้นแต่ละเมืองของอิตาลีล้วนแล้วมีความงดงามทางศิลปะ และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้อิตาลี กลายเป็นเป็นหนึ่งในสุดยอดจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว
เมืองหลวงของอิตาลี และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด เสน่ห์ของกรุงโรม คือความเก่าแก่ของบ้านเมือง ที่มีอายุยาวนานกว่า 3,000 ปี ที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน ต้นแบบของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีในปัจจุบัน ทั้งสิ่งก่อสร้าง, โบราณสถาน, ประติมากรรมที่เป็นตำนานเล่าขานถึง
เมืองขึ้นชื่อด้านแฟชั่นอันดับต้นๆของโลก และเป็นศูนย์กลางการจัดงานออกแบบระดับโลก อย่างงาน Salone del Mobile หรือ Milan Design Week และเมืองแห่งนี้ยังมีประวัติศาสตร์ทางศิลปะ และวัฒนธรรมจากสถาปัตยกรรม
เมืองศูนย์กลางแห่งศิลปะยุค Renaissance และงานศิลปะอันเลื่องชื่อ ในเมืองมีพิพิธภัณฑ์และงานจัดแสดงศิลปะจำนวนมาก
เมืองแห่งการท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อสำหรับการมาฮันนีมูนของคู่รัก ด้วยกลิ่นอายของศิลปะหลากยุคหลากสมัยที่มาพร้อมกับเสน่ห์ของการเดินทางด้วยเรือกอนโดลาไปยังสถานที่ต่างๆ
‘เวนิส เบียนนาเล่’ เทศกาลงานศิลปะที่เก่าแก่กว่า 129 ปี
La Biennale di Venezia (The Venice Biennale) คือ เทศกาลศิลปะนานาชาติแห่งหนึ่งที่เก่าแก่และทรงคุณค่าที่สุดในโลกที่มีอายุยาวนานมากว่า 129 ปี การจัดงานเกิดขึ้นทุกสองปีที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มีทั้งการจัดแสดงศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ การเต้นรำ และผลงานสถาปัตยกรรม โดยแบ่งสถานที่จัดงานเป็น 2 โซน คือ
เทศกาลศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ถือกำเนิดครั้งเเรกเมื่อปี 1895 เนื่องจากนายกเทศมนตรีสภาเมืองเวนิสต้องการจัดนิทรรศกาลศิลปะอิตาลีและนานาชาติ โดยสามารถดึงดูดผู้คนในวงการศิลปะมาร่วมงานได้ถึง 200,000 คน ตั้งแต่การจัดเทศกาลในครั้งแรก
โดยงานในปี 2024 นี้ จะถูกจัดขึ้นตั้งเเต่วันที่ 20 เม.ย. 67 - 24 พ.ย.67 ในธีม Foreigners Everywhere ซึ่งสามารถแปลความหมายโดยนัยได้ว่า เราทุกคนมักจะเป็นชาวต่างชาติได้ในทุกสถานที่ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณก็จะถูกรายล้อมด้วยชาวต่างชาติเสมอ หรือแม้แต่ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนคุณก็จะพบเจอคนแปลกหน้า หรือคุณเองก็อาจเป็นคนต่างด้าวเช่นเดียวกัน
และถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการผลักดัน จนทำให้ศิลปินไปเฉิดฉายบนเวทีโลกได้ แต่มูลนิธิ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ก็ได้มีการผลักดันฝันของศิลปินไทยและอาเซียนให้เป็นจริงเช่นกัน ผ่านนิทรรศการ The Spirits of Maritime Crossing : วิญญาณข้ามมหาสมุทร ของศิลปินไทยและอาเซียนกว่า 15 ศิลปิน เช่น มารีน่า อบราโมวิช (เซอร์เบีย สหรัฐอเมริกา) พิเชษฐ กลั่นชื่น (ไทย) กวิตา วัฒนะชยังกูร (ไทย) นักรบ มูลมานัส (ไทย)จอมเปท คุสวิดานันโต (อินโดนีเซีย) โม สัท (สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า-เนเธอร์แลนด์)
ผ่าน 40 ผลงานศิลปะอันโดดเด่น ตั้งแต่ภาพวาด ประติมากรรม สื่อผสม และวิดีโอจัดวาง ซึ่งเจาะลึกประเด็นเรื่องการพลัดถิ่น ลัทธิล่าอาณานิคม และการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นไปที่สัญลักษณ์ของการข้ามน้ำ และการเดินทางทางทะเลเป็นพิเศษ
ณ Palazzo Smith Mangilli Valmarana ในนครเวนิส ประเทศอิตาลี จนถึงวันที่ 24 พ.ย.67 ซึ่งเป็นการจัดคู่ขนานไปกับมหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ 2024
Venice Effect คือ ผลพวงจากการจัดงาน ‘เวนิส เบียนนาเล่’ เทศกาลศิลปะนานาชาติที่มีอายุยาวนาน และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขว้างที่ทรงคุณค่างานหนึ่งของโลก ทำให้ผู้คนสายอาร์ตทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเวนิส และส่งผลต่อเนื่องไปถึง ภาพลักษณ์ประเทศ มูลค่าทางเศรษฐกิจของอิตาลี
เวนิส เบียนนาเล่ สามารถสร้างภาพลักษณ์ของประเทศอิตาลีในฐานะ ผู้นำในวงการศิลปะ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้อิตาลี เป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เวนิส เบียนนาเล่ ถือได้ว่าเป็น bucket list หนึ่งในงานในฝันของผู้ชื่นชอบงานศิลปะที่อยากมาสัมผัสให้เห็นกับตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 600,000 คนในแต่ละปี และสร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอย่างการท่องเที่ยว โรงแรมคึกคักรอบเมือง
เวนิส เบียนนาเล่ เป็นเทศกาลที่นำเสนอศิลปะร่วมสมัยจากหลากหลายประเทศทั่วโลก และแต่ละงานจะมีการเชื่อมโยงผ่านธีมในแต่ละปี โดยศิลปินสามารถสะท้อน บอกเล่าเรื่องราวปัญหาภายในประเทศ เศรษฐกิจ แนวความคิดทางสังคม หรือแม้แต่การเมืองผ่านผลงานทางศิลปะที่ถูกรังสรรค์
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกๆปี งานเทศกาลศิลปะนานชาติ เวนิส เบียนนาเล่ จะมีศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตามองเสมอ ซึ่งหากศิลปินคนไหนได้มีโอกาสไปจัดแสดงงานศิลปะของตน ก็จะเป็นเหมือนใบเบิกทางสายอาชีพศิลปินที่แข็งแกร่ง ซึ่งหมายถึงโอกาสที่จะได้เฉิดฉายเเละรุ่งโรจน์ในสายอาชีพของตนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยได้เรียนรู้ ถอดความสำเร็จของประเทศอิตาลี ผ่านการสร้างชาติด้วยพลังของ soft power ดึงจุดเด่นของประเทศของเรามาเป็นจุดแข็ง และนำเสนอความสวยงาม ประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าของเรา มารักษาและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม ไปจนถึงให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมศิลปะมากกว่านี้ ก็จะทำให้เราสามารถดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากการท่องเที่ยว และเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และสวยงามบนเวทีโลกได้
อ้างอิง : Journal Venice Effect