ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการท่องเที่ยว แต่ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดคำถามถึงความสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการรักษาคุณภาพการท่องเที่ยว หนึ่งในประเด็นร้อนที่กำลังถกเถียงกันคือการปรับขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายมองว่าเป็นทางออกในการรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในระยะยาว
เมื่อเร็วๆนี้ ญี่ปุ่นสร้างสถิติใหม่ด้านการท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายน โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 3.14 ล้านคน แซงหน้าสถิติเดิมที่ 3.08 ล้านคนในเดือนมีนาคม ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตครั้งนี้คือค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาเยือนญี่ปุ่น ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
โดยข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแล้วกว่า 17.78 ล้านคน ถือเป็นสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นถึง 65.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และแซงหน้าตัวเลขในปี 2019 ไปแล้ว 6.9% ตัวเลขที่น่าประทับใจนี้ทำให้คาดการณ์กันว่า ญี่ปุ่นอาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีทะลุ 31.9 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2019 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
ประเทศ/ภูมิภาค | มิ.ย. 2566 | มิ.ย. 2567 | อัตราการเติบโต (%) | ม.ค. - มิ.ย. 2566 | ม.ค. - มิ.ย. 2567 |
อัตราการเติบโต (%)
|
รวมทั้งหมด | 2,073,441 | 3,135,600 | 51.2 | 10,712,396 | 17,777,200 | 65.9 |
เกาหลีใต้ | 545,089 | 703,300 | 29 | 3,128,476 | 4,442,100 | 42 |
จีน | 208,573 | 660,900 | 216.9 | 594,768 | 3,068,000 | 415.8 |
ไต้หวัน | 388,976 | 574,500 | 47.7 | 1,770,618 | 2,979,200 | 68.3 |
สหรัฐอเมริกา | 226,806 | 296,400 | 30.7 | 972,208 | 1,342,900 | 38.1 |
ฮ่องกง | 186,324 | 250,600 | 34.5 | 909,761 | 1,276,100 | 40.3 |
ไทย | 51,351 | 54,600 | 6.3 | 497,799 | 618,300 | 24.2 |
ออสเตรเลีย | 42,424 | 61,800 | 45.7 | 274,785 | 462,000 | 68.1 |
ฟิลิปปินส์ | 54,227 | 65,000 | 19.9 | 277,142 | 401,700 | 44.9 |
สิงคโปร์ | 54,568 | 58,900 | 7.9 | 252,703 | 300,000 | 18.7 |
มาเลเซีย | 22,009 | 22,000 | 0 | 194,252 | 241,800 | 24.5 |
อินโดนีเซีย | 39,276 | 43,000 | 9.5 | 201,656 | 263,800 | 30.8 |
เวียดนาม | 38,873 | 47,400 | 21.9 | 300,898 | 331,900 | 10.3 |
อินเดีย | 14,202 | 19,900 | 40.1 | 79,438 | 121,900 | 53.5 |
แคนาดา | 30,016 | 41,000 | 36.6 | 183,266 | 272,300 | 48.6 |
เม็กซิโก | 6,753 | 10,800 | 59.9 | 34,906 | 64,000 | 83.3 |
สหราชอาณาจักร | 20,417 | 28,800 | 41.1 | 150,161 | 218,400 | 45.4 |
ฝรั่งเศส | 17,714 | 23,100 | 30.4 | 122,134 | 184,300 | 50.9 |
เยอรมนี | 13,655 | 16,600 | 21.6 | 106,715 | 157,600 | 47.7 |
อิตาลี | 10,248 | 15,000 | 46.4 | 59,364 | 96,100 | 61.9 |
สเปน | 8,693 | 12,900 | 48.4 | 39,530 | 65,900 | 66.7 |
รัสเซีย | 2,381 | 5,600 | 135.2 | 16,182 | 41,100 | 154 |
กลุ่มประเทศนอร์ดิก | 11,389 | 14,400 | 26.4 | 53,066 | 73,700 | 38.9 |
ตะวันออกกลาง | 9,135 | 14,100 | 54.4 | 51,957 | 75,200 | 44.7 |
อื่น ๆ | 70,342 | 95,000 | 35.1 | 440,611 | 678,900 | 54.1 |
สำหรับ 5 อันดับแรกของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าญี่ปุ่นมากที่สุด ได้แก่ เกาหลีใต้ (4.44 ล้านคน), จีน (3.07 ล้านคน), ไต้หวัน (2.98 ล้านคน), สหรัฐอเมริกา (1.34 ล้านคน) และฮ่องกง (1.28 ล้านคน) ส่วนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศมากเป็นอันดับ 6 (618,300 คน) นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ประกาศว่า คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายในญี่ปุ่นสูงถึง 8 ล้านล้านเยน (50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันปัญหา "นักท่องเที่ยวล้น" (overtourism) ที่อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลายเป็นภาคส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่นในปี 2024 รองจากรถยนต์ และแซงหน้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญของภาคการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 38 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากข้อมูลขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) นักท่องเที่ยวจาก 18 ใน 23 ประเทศที่ JNTO ติดตาม มีจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากไต้หวันและสหรัฐอเมริกาที่สร้างสถิติใหม่ในทุกเดือน
"ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างไม่ต้องสงสัยได้ส่งเสริมความน่าดึงดูดใจของญี่ปุ่น กระตุ้นให้เกิดการวางแผนการเดินทางแบบกะทันหัน" นาโอมิ มาโนะ ประธานบริษัทนำเที่ยวระดับสูง Luxurique กล่าว "นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดจากปี 2019 เมื่อนักท่องเที่ยวประมาณ 30% มาจากประเทศจีน"
ข้อมูลจาก JNTO ยังระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ในเดือนมิถุนายนลดลง 25% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2019 ในขณะที่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้ก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนในท้องถิ่นและผู้กำหนดนโยบาย เส้นทางเดินป่าที่แออัดและขยะที่เพิ่มขึ้นบนภูเขาไฟฟูจิอันศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นในเดือนนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกำหนดค่าธรรมเนียมเข้าชมและจำกัดจำนวนนักปีนเขาเป็นครั้งแรก
นายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิทางภาคตะวันตกของญี่ปุ่นได้เสนอเมื่อเดือนที่ผ่านมาให้เรียกเก็บค่าเข้าชมปราสาทเก่าแก่สมัยซามูไรของเมืองจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในอัตราที่สูงกว่าผู้พักอาศัยในท้องถิ่นถึง 6 เท่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้การท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นายกรัฐมนตรีคิชิดะได้ย้ำถึงเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีให้เกือบเท่าตัวเป็น 60 ล้านคน และเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเป็น 15 ล้านล้านเยนภายในปี 2030
ท่านนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ณ กรุงโตเกียวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาสนามบินในภูมิภาคและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ และการดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาการท่องเที่ยวเกินขีดจำกัดอีกด้วย
ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การที่ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังพิจารณาปรับขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แนวทางปฏิบัติดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำ
ระบบการกำหนดราคาแบบสองชั้น ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะถูกเรียกเก็บค่าบริการที่สูงกว่าคนในท้องถิ่นนั้น เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งนำไปสู่ความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจสูญเสียภาพลักษณ์ของการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางแห่งได้ออกมาโต้แย้งว่า ระบบการกำหนดราคาแบบสองชั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยว แต่เป็นมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อรับมือกับต้นทุนด้านแรงงานและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นสืบเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังหลายแห่งในญี่ปุ่นกำลังพิจารณาขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาหลังค่าเงินเยนอ่อนตัวลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปราสาทฮิเมจิ มรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก ซึ่งนายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิเผยว่ากำลังพิจารณาขึ้นค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติถึง 4 เท่า จากเดิม 1,000 เยน เป็นราว 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,000 บาท) ขณะที่คนท้องถิ่นยังคงจ่าย 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 170 บาท) เท่าเดิม
การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่านักท่องเที่ยวจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาปราสาท ขณะเดียวกันก็ต้องการหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาสำหรับคนท้องถิ่นที่มองว่าปราสาทเป็น "สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ" ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลจังหวัดโอซาก้าก็กำลังหารือเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยอาจเริ่มใช้ในช่วงงานเอ็กซ์โปโลกที่จะจัดขึ้นในปี 2025 เพื่อนำเงินมาใช้บริหารจัดการนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
"ทามาเตะบาโกะ" ร้านอาหารทะเลบุฟเฟต์ในชิบูย่า สร้างความฮือฮาด้วยการคิดราคาบุฟเฟต์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7,678 เยน ในขณะที่คนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่นจ่ายเพียง 6,578 เยน โยเนมิตสึ เจ้าของร้าน อธิบายว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาจากการจ้างพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้และการฝึกอบรมเพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติ
"ร้านของเรามีลูกค้าวันละ 100-150 คน แต่มีที่นั่งแค่ 35 ที่ การบริการลูกค้าต่างชาติต้องใช้เวลามากกว่าคนญี่ปุ่น ทั้งการอธิบายเมนู การแนะนำวิธีรับประทาน" โยเนมิตสึกล่าว พร้อมย้ำว่า 80% ของลูกค้ายังคงเป็นคนญี่ปุ่น การขึ้นราคาสำหรับทุกคนจึงไม่เป็นธรรม ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มาใช้บริการพร้อมเพื่อนชาวต่างชาติแสดงความเห็นด้วยกับนโยบายนี้ "เมื่อค่าเงินเยนอ่อนขนาดนี้ การเก็บเงินจากชาวต่างชาติเพิ่มอีกหน่อยก็ไม่น่าเสียหาย" เธอกล่าว "เหมือนกับวัดในไทยที่ก็มีราคาต่างกันสำหรับคนไทยและต่างชาติ ตอนนี้ญี่ปุ่นก็เป็นแบบนั้นแล้ว"
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเตือนว่าธุรกิจและสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นราคาสำหรับชาวต่างชาติควรระมัดระวังในการสื่อสารเหตุผลและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การขึ้นราคาอย่างกะทันหันโดยอ้างว่าชาวต่างชาติรับไหวเพราะค่าเงินเยนอ่อน อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในระยะยาว ผลสำรวจความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการคิดราคาต่างกันสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พบว่าเกือบ 60% เห็นด้วยหรือค่อนข้างเห็นด้วย แต่กว่าครึ่งก็กังวลว่าระบบนี้อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในสายตานักท่องเที่ยว
ผลสำรวจชี้ว่าชาวญี่ปุ่นเกือบ 60% เห็นด้วยหรือค่อนข้างเห็นด้วยกับการปรับขึ้นราคาค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการยกระดับบริการเพื่อสร้างความคุ้มค่า เช่น การให้บริการในหลากหลายภาษา การจัดเตรียมมัคคุเทศก์ หรือการมอบของที่ระลึกพิเศษ ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติบางรายแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยมองว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหากมีนักท่องเที่ยวมากเกินไป แต่ก็มีบางส่วนกังวลว่าอาจถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ
ศาสตราจารย์ด้านการท่องเที่ยวจากมหาวิทยาลัย Kokugakuin แนะนำว่า ธุรกิจควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการบริการให้สูงขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับประสบการณ์ที่ดีและยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้กลับมาเที่ยวญี่ปุ่นอีกในอนาคต สุดท้ายนี้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหม่ เมื่อความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของอุตสาหกรรม การปรับขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะกำหนดทิศทางและอนาคตของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในยุคหลังโควิด-19