“ สิ่งที่แบงก์ชาติคำนึงถึง คือ ระยะเวลาการปิดจบหนี้และภาระหนี้ที่จ่ายทั้งหมดของลูกหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ต่อเดือนในปัจจุบัน และการมีมาตรการอื่นมารองรับ เพื่อดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ที่การคงชำระหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 8% เพื่อช่วยรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ลูกหนี้ไปต่อได้ หากยังมีปัญหาไม่สามารถชำระได้เต็ม”
โดยคุณอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยว่า ปัญหาหนี้ของภาคครัวเรือนไทย ข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 1/2567 มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ระดับ 90.8% โดยมีส้ดส่วนหนี้บ้าน 34% หนี้ส่วนบุคคล 25% หนี้เพื่อประกอบอาชีพ 18% หนี้รถยนต์ 11% หนี้บัตรเครดิต 3% และอื่นๆ 9%
ดังนั้น เพื่อแก้หนี้เสีย หนี้เรื้อรัง และช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยแบงก์ชาติได้ออกมาตรการตั้งแต่ช่วงโควิดจนถึงปัจจุบัน โดยธปท.ได้เข้าตรวจสอบสถาบันการเงินว่าได้เข้าไปดูแลลูกหนี้ที่มีปัญหาทุกคนหรือไม่ สุ่มตรวจสอบรายชื่อ และตรวจสอบโทร.ของสถาบันการเงินจริงหรือไม่ และให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ซึ่งต้องช่วยเหลือทุกคนที่เริ่มมีปัญหา เพื่อให้ลูกหนี้มีปัญหาได้รับความเชื่อเหลือ และเงื่อนไขที่สถาบันการเงินเสนอเหมาะสมหรือไม่ ธปท.ลองสุ่มตรวจ Call Center สถาบันการเงินจริงๆ ว่ามีข้อแนะนำ และได้เล่าข้อดี ข้อเสีย และปลอมตัวเป็นลูกหนี้ ก็เจอว่าแบงก์บอกไม่มีการปรับโครงสร้างหนี้ แต่จะให้สินเชื่อใหม่
จากการที่ธปท. ได้สุ่มตรวจสถาบันการเงิน พบว่า 4 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น 4 เดือนแรกของปีนี้ มีลูกหนี้ได้รับความช้วยเหลือรวม 8.2 แสนบัญชี หรือประมาณ 2.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 5.3 เท่าของจำนวบัญชีของสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย ที่ได้รับความช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทลูกและนอนแบงก์
สำหรับความช่วยเหลือลูกหนี้นั้น ยังมีลูกหนี้บางส่วนที่สถาบันการเงินติดต่อไม่ได้ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ที่ไม่สามารถติดต่อลูกหนี้ได้ถึงประมาณ 60% ส่วนลูกหนี้มีหลักประกัน ไม่สามารถติดต่อได้ประมาณ 30% และการกู้ต้องให้รู้ข้อมูลที่ชัดเจน แบงก์ชาติเร่งรัดให้ช่วยเหลือลูกหนี้
โดยคุณเขมวันต์ ศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงเหตุและผลที่ตัดสินใจปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ดังนี้
ข้อสรุปของมาตรการนี้ คือ
“ สิ่งที่แบงก์ชาติคำนึงถึง คือ ระยะเวลาการปิดจบหนี้และภาระหนี้ที่จ่ายทั้งหมดของลูกหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ต่อเดือนในปัจจุบัน และการมีมาตรการอื่นมารองรับ เพื่อดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ที่การคงชำระหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 8% เพื่อช่วยรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ลูกหนี้ไปต่อได้ หากยังมีปัญหาไม่สามารถชำระได้เต็ม” คุณเขมวันต์กล่าว
ทำไมคงชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตไว้ที่ 8% แบงก์ชาติได้ประเมินถึงจ่ายค่างวดไหวรึป่าว ภาระหนี้แต่ละเดือน และระยะเวลาการปิดหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งจากการประเมินพบว่า การจ่ายขั้นต่ำที่ 8% ภาระที่ต้องจ่ายหนี้คืนโดยรวมน้อยกว่า และปิดจบหนี้ได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการจ่ายขั้นต่ำ 5% และลูกหนี้ยังมีสภาพคล่องมากกว่าการจ่ายขั้นต่ำ 10%
จากการวิเคราะห์ พบว่า กรณี ยอดหนี้บัตรเครดิต 30,000 บาท และจ่ายชำระไม่ต่ำกว่าชำระหนี้ขั้นต่ำ ดังนี้
“ถ้าลูกหนี้มีความสามารถจ่ายชำระขั้นต่ำ จ่ายได้ไหว จ่ายมา 6 เดือนแรกจะได้ลดดอกเบี้ย 0.5% และ 6 เดือนหลังได้ลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะได้เงินคืนทุก 3 เดือน ซึ่งนี่เป็นการจูงใจให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถจ่ายหนี้ได้ มีลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ได้รับประโยชน์”
เมื่อแบงก์ชาติออกมาตรการไปแล้ว และติดตามแล้ว พบว่า ลูกหนี้มีการปรับตัวมาจ่ายขั้นต่ำเกินกว่า 8% แล้ว และเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ลูกหนี้ 93% ของลูกหนี้ทั้งหมด จ่ายได้เกิน 8% มีเพียง 7% จ่ายได้น้อยกว่า 8% และไม่ได้เป็นหนี้เสีย แต่ยังจ่ายได้ แต่ก็มีลูกหนี้ที่เป็น NPL แต่ไม่ได้เยอะมาก ซึ่งก้อน 7% ที่แบงก์ชาติต้องดูแล ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้
ลูกหนี้ที่จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 8% ไม่ไหว แต่จ่ายได้ต่ำกว่า 5% ให้ปรับโครงสร้างหนี้
โดยได้ออกแบบแนวทางให้กับลูกหนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้มากขึ้น มาตรการที่ออกไปเพิ่มโอกาสที่ปรับโครงสร้างหนี้และมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำรงชี ซึ่งจะแบ่งลูกหนี้เป็น 2 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่จ่าย 8% ไม่ไหว แต่ยังจ่ายได้เกิน 5% ก็ให้ใช้สิทธิปรับโครงสร้างหนี้ได้ เช่น เปลี่ยนจากหนี้บัตรเครดิตเป็นสินเชื่อระยะยาว และยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินบัตรเครดิตส่วนที่เหลือ
เช่น มีวงเงิน 30,000 บาท ใช้ไป 18,000 บาท แต่จ่ายไม่ไหว ซึ่งให้เปลี่ยน 18,000 บาท เป็นปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลา และส่วนที่เหลือ 12,000 บาทที่ยังไม่เคยใช้ให้คงไว้ได้ต่อไป ส่วนที่แบงก์ชาติผ่อนปรนให้
ส่วนที่จ่ายต่ำกว่า 5% ก็ให้ปรับโครงสร้างหนี้ เข้าปรึกษากับหมอหนี้ หรือเข้าคลีนิกแก้หนี้ได้
ทำไมปรับโครงสร้างหนี้ดีกกับลูกหนี้?
เพื่อให้เห็นภาพ ยกตัวอย่าง มียอดหนี้บัตรเครดิต 30,000 บาท โดยเปรียบเทียบกับมาตรการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ
หากประเมินแล้ว เห็นว่า
ลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPL ควรเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ และตรงจุดและตอบโจทย์ลูกหนี้ เพราะอะไร?
ส่วนลูกหนี้ที่เป็น NPL “คลีนิกแก้หนี้ ช่วยลดภาระลูกหนี้ได้ดีที่สุด”
2. มาตรการรวมหนี้ (Debt consolidaion) การรวมหนี้ที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ มารวม เพื่อช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ เนื่องจากมีบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ สามารถรวมหนี้ข้ามธนาคารได้
มีข้อดีอะไรบ้าง?
3. การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt : PD) ดังนี้
“ จากการสอบถามลูกหนี้ เรื่องการเข้ามาตรการแก้หนี้เรื้อรังจะเป็นกังวลว่าต้องปิดหนี้ ก็จะไม่มีสภาพคล่อง และเข้ามาตรการด้วยวงเงินเท่าเดิมก็จะไม่กล้าเข้า จึงได้มีการปรับเกณฑ์ช่วยเหลือลูกหนี้”
มาตรการที่ปรับเกณฑ์มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธปท.มีการผ่อนปรนนี้จะสามารถช่วยลูกหนี้ได้ลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น และมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายจะช่วยได้จริงหรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไปแล้วว่า ผลตอบรับจากมาตรการหนี้จะช่วยปัญหาหนี้ครัวเรือนได้จริงหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน?