บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกตัวเลขสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือนกรกฎาคม 2567 ทั้งภาพรวมการผลิต การขาย และการส่งออก พร้อมทั้ง วิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยานยนต์ นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยภาพรวมของอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ยังคงมีอยู่
ตัวเลขการผลิตรถยนต์โดยรวมลดลง 16.62% เหลือเพียง 124,829 คัน บ่งชี้ถึงอุปสรรคในการผลิตที่อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของราคาชิ้นส่วน หรือปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ด้านยอดขายภายในประเทศก็เผชิญความยากลำบากเช่นกัน โดยลดลง 20.58% มาอยู่ที่ 46,394 คัน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หรือการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
ตลาดส่งออกก็ไม่ต่างกัน โดยการส่งออกลดลง 22.70% เหลือ 83,527 คัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศอื่น ๆ
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ผลิตรถยนต์ได้รวม 124,829 คัน ลดลง 16.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากการผลิตรถยนต์เพื่อขายในประเทศที่ลดลงถึง 40.85% ตามภาวะตลาดที่ซบเซาจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน การผลิตกลับเพิ่มขึ้น 7.34%
ภาพรวมการผลิตตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) อยู่ที่ 886,069 คัน ลดลง 17.28% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด 46,046 คัน ลดลง 8.94% จากปีก่อน โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในแต่ละประเภทเครื่องยนต์:
เมื่อพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) ยอดผลิตรถยนต์นั่งอยู่ที่ 329,269 คัน คิดเป็น 37.16% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ลดลง 11.40% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เดือนกรกฎาคม 2567 ไม่มีการผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ (ต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน) ในขณะที่ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปียังมีเพียง 10 คัน ลดลงอย่างมากถึง 87.80% จากปีก่อน
สำหรับรถบรรทุก ในเดือนกรกฎาคม 2567 ผลิตได้ 78,783 คัน ลดลง 20.53% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 556,790 คัน ลดลง 20.40%
รถกระบะขนาด 1 ตัน ผลิตได้ 77,838 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลง 19.14% จากปีก่อน ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 544,576 คัน คิดเป็น 61.46% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ลดลง 19.93% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยแบ่งเป็น
ภาพรวมการผลิตรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมยังคงเผชิญอยู่ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์สันดาปภายใน อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและโอกาสในการเติบโตในอนาคต
แม้ภาพรวมการผลิตรถยนต์จะลดลง แต่การผลิตเพื่อส่งออกกลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกทั้งหมด 87,538 คัน คิดเป็น 70.13% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.01% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) การผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 603,721 คัน คิดเป็น 68.13% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด ซึ่งลดลง 2.20% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกอยู่ที่ 25,958 คัน เพิ่มขึ้น 8.02% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 177,466 คัน คิดเป็น 53.90% ของยอดผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด เพิ่มขึ้น 3.72% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
รถกระบะขนาด 1 ตันที่ผลิตเพื่อส่งออกในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 61,580 คัน ลดลงเล็กน้อย 1.67% จากปีก่อน ส่วนยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 426,255 คัน คิดเป็น 78.27% ของยอดผลิตรถกระบะทั้งหมด ลดลง 4.47% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้
แม้ตลาดส่งออกจะเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกของไทยยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งและรถกระบะ PPV ที่มียอดผลิตเพิ่มขึ้น การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว
ตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศมีจำนวน 37,291 คัน คิดเป็นเพียง 29.87% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และลดลงอย่างมากถึง 40.85% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 282,348 คัน คิดเป็น 31.87% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และลดลงถึง 37.80% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20,088 คัน ลดลง 24.30% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 151,803 คัน คิดเป็น 46.10% ของยอดผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด ลดลง 24.30% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
รถกระบะขนาด 1 ตันที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 16,258 คัน ลดลงอย่างหนักถึง 51.65% จากปีก่อน ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 118,321 คัน คิดเป็นเพียง 21.73% ของยอดผลิตรถกระบะทั้งหมด และลดลง 49.42% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้:
เดือนกรกฎาคม 2567 ไม่มีการผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ (ต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน) เพื่อจำหน่ายในประเทศ เช่นเดียวกับภาพรวมตั้งแต่ต้นปีที่มีการผลิตเพียง 10 คัน ลดลง 87.80% จากปีก่อน
สำหรับรถบรรทุกที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 945 คัน ลดลง 67.19% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 12,214 คัน ลดลง 37%
ตัวเลขการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศในอนาคต
ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ก็เผชิญกับความท้าทายเช่นเดียวกับตลาดรถยนต์ โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์รวมทั้งสิ้น 179,176 คัน ลดลง 8.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในแต่ละประเภท:
ภาพรวมการผลิตตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) อยู่ที่ 1,376,369 คัน ลดลง 8.33% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้:
แม้ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์โดยรวมจะลดลง แต่การเติบโตของการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) เป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทยให้ก้าวต่อไป
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยเดือนกรกฎาคม 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวม 46,394 คัน ลดลง 2.66% จากเดือนมิถุนายน และลดลงถึง 20.58% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงผลกระทบจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะและรถบรรทุก ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
กลุ่มรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาด มียอดขาย 27,736 คัน คิดเป็น 59.78% ของยอดขายทั้งหมด แม้จะลดลง 7.03% จากปีก่อน แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า
กลุ่มรถกระบะ รถ PPV และรถบรรทุกได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
ตลาดรถจักรยานยนต์ก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยมียอดขาย 141,557 คัน ลดลง 5.97% จากเดือนมิถุนายน และลดลง 6.12% จากเดือนกรกฎาคมของปีก่อน
เมื่อพิจารณายอดขายรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) รถยนต์มียอดขาย 354,421 คัน ลดลง 23.71% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรถจักรยานยนต์มียอดขาย 1,032,091 คัน ลดลง 9.84%
ภาพรวมยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ตลาดยานยนต์ไทยกำลังเผชิญอยู่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นตลาดในอนาคต ในขณะเดียวกัน การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาและเติบโตของอุตสาหกรรมในทิศทางใหม่
เดือนกรกฎาคม 2567 เป็นอีกเดือนที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของไทยเผชิญกับความท้าทาย โดยมียอดส่งออกรวม 83,527 คัน ลดลง 6.22% จากเดือนก่อนหน้า และลดลงถึง 22.70% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและยุโรปส่งผลกระทบต่อการขนส่ง ทำให้การส่งออกไปยังภูมิภาคเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ก็ยังไม่สามารถชดเชยส่วนที่หายไปได้
มูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 56,397.87 ล้านบาท ลดลง 16.56% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าการส่งออกเครื่องยนต์ลดลง 15.22% อยู่ที่ 4,047.92 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่กลับเพิ่มขึ้น 3.52% และ 23.69% ตามลำดับ ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 81,434.29 ล้านบาท ลดลง 11.71% จากปีก่อนหน้า
ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 602,567 คัน ลดลง 5.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
แม้การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกรกฎาคม 2567 จะเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โลก แต่ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปียังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่ง HEV และรถ PPV การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงการแสวงหาตลาดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกยานยนต์ของไทยในอนาคต
ตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยมียอดส่งออกรวม (CBU + CKD) อยู่ที่ 58,757 คัน เพิ่มขึ้น 7.39% จากเดือนมิถุนายน แต่ลดลง 8.53% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,624.92 ล้านบาท ลดลง 18.72% จากปีก่อน
ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 การส่งออกรถจักรยานยนต์รวม (CBU + CKD) อยู่ที่ 473,075 คัน ลดลง 3.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 37,354.60 ล้านบาท ลดลง 10.10%
เมื่อรวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 จะอยู่ที่ 86,509.24 ล้านบาท ลดลง 12.10% จากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) มูลค่าการส่งออกรวมอยู่ที่ 606,997.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 เผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปียังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตเล็กน้อย การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงการแสวงหาตลาดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในอนาคต