Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ยอดขาย-ยอดผลิตรถยนต์ หดตัวถึง 20% เหตุแบงก์คุมเข้ม หนี้ครัวเรือนสูง
โดย : อมรินทร์ทีวีออนไลน์

ยอดขาย-ยอดผลิตรถยนต์ หดตัวถึง 20% เหตุแบงก์คุมเข้ม หนี้ครัวเรือนสูง

27 ส.ค. 67
17:29 น.
|
549
แชร์

เดือนกรกฎาคม 2567 เป็นอีกเดือนที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเผชิญกับความท้าทาย ทั้งในด้านการผลิต การขายในประเทศ และการส่งออก โดยมีตัวเลขลดลงเกือบทุกด้าน สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนและการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกตัวเลขสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือนกรกฎาคม 2567 ทั้งภาพรวมการผลิต การขาย และการส่งออก พร้อมทั้ง วิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

img_0781

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยานยนต์ นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยภาพรวมของอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ยังคงมีอยู่

ตัวเลขการผลิตรถยนต์โดยรวมลดลง 16.62% เหลือเพียง 124,829 คัน บ่งชี้ถึงอุปสรรคในการผลิตที่อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของราคาชิ้นส่วน หรือปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ด้านยอดขายภายในประเทศก็เผชิญความยากลำบากเช่นกัน โดยลดลง 20.58% มาอยู่ที่ 46,394 คัน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หรือการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

ตลาดส่งออกก็ไม่ต่างกัน โดยการส่งออกลดลง 22.70% เหลือ 83,527 คัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศอื่น ๆ 

ภาพรวมการผลิตรถยนต์ไทย เดือนกรกฎาคม 2567

การผลิตรถยนต์โดยรวม

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ผลิตรถยนต์ได้รวม 124,829 คัน ลดลง 16.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากการผลิตรถยนต์เพื่อขายในประเทศที่ลดลงถึง 40.85% ตามภาวะตลาดที่ซบเซาจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน การผลิตกลับเพิ่มขึ้น 7.34%

ภาพรวมการผลิตตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) อยู่ที่ 886,069 คัน ลดลง 17.28% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถยนต์นั่ง

ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด 46,046 คัน ลดลง 8.94% จากปีก่อน โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในแต่ละประเภทเครื่องยนต์:

  • รถยนต์นั่งสันดาปภายใน (ICE): ผลิตได้ 32,251 คัน ลดลง 17.83%
  • รถยนต์นั่งไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV): ผลิตได้ 522 คัน เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 18,300%
  • รถยนต์นั่งปลั๊กอินไฮบริด (PHEV): ผลิตได้ 372 คัน ลดลง 54.80%
  • รถยนต์นั่งไฮบริด (HEV): ผลิตได้ 12,871 คัน เพิ่มขึ้น 22.65%

เมื่อพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) ยอดผลิตรถยนต์นั่งอยู่ที่ 329,269 คัน คิดเป็น 37.16% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ลดลง 11.40% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

  • รถยนต์นั่ง ICE: ผลิตได้ 209,571 คัน ลดลง 28.39%
  • รถยนต์นั่ง BEV: ผลิตได้ 5,505 คัน เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึง 3,670.55%
  • รถยนต์นั่ง PHEV: ผลิตได้ 3,561 คัน ลดลง 44.10%
  • รถยนต์นั่ง HEV: ผลิตได้ 110,632 คัน เพิ่มขึ้น 52.71%

การผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุก

เดือนกรกฎาคม 2567 ไม่มีการผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ (ต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน) ในขณะที่ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปียังมีเพียง 10 คัน ลดลงอย่างมากถึง 87.80% จากปีก่อน

สำหรับรถบรรทุก ในเดือนกรกฎาคม 2567 ผลิตได้ 78,783 คัน ลดลง 20.53% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 556,790 คัน ลดลง 20.40%

การผลิตรถกระบะ

รถกระบะขนาด 1 ตัน ผลิตได้ 77,838 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลง 19.14% จากปีก่อน ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 544,576 คัน คิดเป็น 61.46% ของยอดการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ลดลง 19.93% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยแบ่งเป็น

  • รถกระบะบรรทุก: ผลิตได้ 88,323 คัน ลดลง 29.03% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ: ผลิตได้ 361,177 คัน ลดลง 19.26% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะ PPV: ผลิตได้ 95,076 คัน ลดลง 12.25% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน - มากกว่า 10 ตัน ผลิตได้ 945 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลง 67.19% จากปีก่อน ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 12,214 คัน ลดลง 37%

ภาพรวมการผลิตรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมยังคงเผชิญอยู่ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์สันดาปภายใน อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและโอกาสในการเติบโตในอนาคต

การผลิตรถยนต์เพื่อส่งออก เดือนกรกฎาคม 2567

แม้ภาพรวมการผลิตรถยนต์จะลดลง แต่การผลิตเพื่อส่งออกกลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกทั้งหมด 87,538 คัน คิดเป็น 70.13% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.01% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) การผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 603,721 คัน คิดเป็น 68.13% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด ซึ่งลดลง 2.20% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออก

ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกอยู่ที่ 25,958 คัน เพิ่มขึ้น 8.02% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 177,466 คัน คิดเป็น 53.90% ของยอดผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด เพิ่มขึ้น 3.72% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถกระบะเพื่อส่งออก

รถกระบะขนาด 1 ตันที่ผลิตเพื่อส่งออกในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 61,580 คัน ลดลงเล็กน้อย 1.67% จากปีก่อน ส่วนยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 426,255 คัน คิดเป็น 78.27% ของยอดผลิตรถกระบะทั้งหมด ลดลง 4.47% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • รถกระบะบรรทุก: ผลิตเพื่อส่งออก 35,322 คัน ลดลง 24.35% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ: ผลิตเพื่อส่งออก 314,612 คัน ลดลง 7.69% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะ PPV: ผลิตเพื่อส่งออก 76,321 คัน เพิ่มขึ้น 30.01% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

แม้ตลาดส่งออกจะเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่การผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกของไทยยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งและรถกระบะ PPV ที่มียอดผลิตเพิ่มขึ้น การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว

การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนกรกฎาคม 2567

ตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศมีจำนวน 37,291 คัน คิดเป็นเพียง 29.87% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และลดลงอย่างมากถึง 40.85% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 282,348 คัน คิดเป็น 31.87% ของยอดการผลิตรวมทั้งหมด และลดลงถึง 37.80% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศ

ในเดือนกรกฎาคม 2567 การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ที่ 20,088 คัน ลดลง 24.30% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 151,803 คัน คิดเป็น 46.10% ของยอดผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด ลดลง 24.30% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถกระบะเพื่อจำหน่ายในประเทศ

รถกระบะขนาด 1 ตันที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 16,258 คัน ลดลงอย่างหนักถึง 51.65% จากปีก่อน ยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 118,321 คัน คิดเป็นเพียง 21.73% ของยอดผลิตรถกระบะทั้งหมด และลดลง 49.42% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • รถกระบะบรรทุก: ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 53,001 คัน ลดลง 31.84% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะดับเบิลแค็บ: ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 46,565 คัน ลดลง 56.28% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • รถกระบะ PPV: ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 18,755 คัน ลดลง 62.22% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

การผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุกเพื่อจำหน่ายในประเทศ

เดือนกรกฎาคม 2567 ไม่มีการผลิตรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ (ต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตัน) เพื่อจำหน่ายในประเทศ เช่นเดียวกับภาพรวมตั้งแต่ต้นปีที่มีการผลิตเพียง 10 คัน ลดลง 87.80% จากปีก่อน

สำหรับรถบรรทุกที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 945 คัน ลดลง 67.19% จากปีก่อน และยอดผลิตรวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 12,214 คัน ลดลง 37%

ตัวเลขการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ในประเทศในอนาคต

ภาพรวมการผลิตรถจักรยานยนต์ไทย เดือนกรกฎาคม 2567

ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ก็เผชิญกับความท้าทายเช่นเดียวกับตลาดรถยนต์ โดยมีการผลิตรถจักรยานยนต์รวมทั้งสิ้น 179,176 คัน ลดลง 8.01% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในแต่ละประเภท:

  • รถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU): ผลิตได้ 150,947 คัน ลดลง 11.27% จากปีก่อน
  • ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD): ผลิตได้ 28,229 คัน เพิ่มขึ้น 14.52% จากปีก่อน

ภาพรวมการผลิตตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) อยู่ที่ 1,376,369 คัน ลดลง 8.33% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • รถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU): ผลิตได้ 1,145,520 คัน ลดลง 11.73% จากปีก่อน
  • ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD): ผลิตได้ 230,849 คัน เพิ่มขึ้น 13.30% จากปีก่อน

แม้ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์โดยรวมจะลดลง แต่การเติบโตของการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) เป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ถึงโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไทยให้ก้าวต่อไป

ภาพรวมยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย: เดือนกรกฎาคม 2567

ยอดขายรถยนต์

ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยเดือนกรกฎาคม 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวม 46,394 คัน ลดลง 2.66% จากเดือนมิถุนายน และลดลงถึง 20.58% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงผลกระทบจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะและรถบรรทุก ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์

กลุ่มรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาด มียอดขาย 27,736 คัน คิดเป็น 59.78% ของยอดขายทั้งหมด แม้จะลดลง 7.03% จากปีก่อน แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า

  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE): มียอดขาย 11,837 คัน คิดเป็น 25.51% ของยอดขายทั้งหมด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 37.57% จากปีก่อน
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV): มียอดขาย 6,835 คัน คิดเป็น 14.73% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 54.01% จากปีก่อน สะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV): มียอดขาย 160 คัน คิดเป็น 0.34% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 20.30% จากปีก่อน
  • รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV): มียอดขาย 8,904 คัน คิดเป็น 19.19% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 41.29% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีไฮบริด

รถกระบะ รถ PPV และรถบรรทุก

กลุ่มรถกระบะ รถ PPV และรถบรรทุกได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

  • รถกระบะ: มียอดขาย 13,167 คัน ลดลง 35.17% จากปีก่อน
  • รถ PPV: มียอดขาย 2,958 คัน ลดลง 36.70% จากปีก่อน
  • รถบรรทุก 5 – 10 ตัน: มียอดขาย 1,318 คัน ลดลง 42.57% จากปีก่อน
  • รถประเภทอื่นๆ: มียอดขาย 1,215 คัน ลดลง 7.11% จากปีก่อน

ยอดขายรถจักรยานยนต์

ตลาดรถจักรยานยนต์ก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยมียอดขาย 141,557 คัน ลดลง 5.97% จากเดือนมิถุนายน และลดลง 6.12% จากเดือนกรกฎาคมของปีก่อน

ยอดขายรวมตั้งแต่ต้นปี

เมื่อพิจารณายอดขายรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) รถยนต์มียอดขาย 354,421 คัน ลดลง 23.71% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนรถจักรยานยนต์มียอดขาย 1,032,091 คัน ลดลง 9.84%

ภาพรวมยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ตลาดยานยนต์ไทยกำลังเผชิญอยู่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นตลาดในอนาคต ในขณะเดียวกัน การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาและเติบโตของอุตสาหกรรมในทิศทางใหม่

ภาพรวมการส่งออกยานยนต์ไทย เดือนกรกฎาคม 2567

การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป

เดือนกรกฎาคม 2567 เป็นอีกเดือนที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของไทยเผชิญกับความท้าทาย โดยมียอดส่งออกรวม 83,527 คัน ลดลง 6.22% จากเดือนก่อนหน้า และลดลงถึง 22.70% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและยุโรปส่งผลกระทบต่อการขนส่ง ทำให้การส่งออกไปยังภูมิภาคเหล่านี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ก็ยังไม่สามารถชดเชยส่วนที่หายไปได้

  • รถกระบะ: ยังคงเป็นผู้นำการส่งออกด้วยจำนวน 45,439 คัน คิดเป็น 54.40% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ก็ลดลง 24.68% จากปีก่อนหน้า
  • รถยนต์นั่ง ICE: ส่งออกได้ 26,288 คัน คิดเป็น 31.47% ของการส่งออกทั้งหมด ลดลง 22.65% จากปีก่อนหน้า
  • รถยนต์นั่ง HEV: แม้จะมีสัดส่วนเพียง 4.41% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ก็มียอดส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 405.35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ไฮบริดในตลาดต่างประเทศ
  • รถ PPV: ส่งออกได้ 8,116 คัน คิดเป็น 9.72% ของการส่งออกทั้งหมด ลดลง 37.59% จากปีก่อนหน้า

มูลค่าการส่งออก

มูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 56,397.87 ล้านบาท ลดลง 16.56% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าการส่งออกเครื่องยนต์ลดลง 15.22% อยู่ที่ 4,047.92 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่กลับเพิ่มขึ้น 3.52% และ 23.69% ตามลำดับ ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 81,434.29 ล้านบาท ลดลง 11.71% จากปีก่อนหน้า

ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปี

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 602,567 คัน ลดลง 5.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

  • รถกระบะ ICE: ยังคงเป็นผู้นำการส่งออกด้วยจำนวน 346,939 คัน คิดเป็น 57.58% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ก็ลดลง 7.68% จากปีก่อนหน้า
  • รถยนต์นั่ง ICE: ส่งออกได้ 146,449 คัน คิดเป็น 24.30% ของการส่งออกทั้งหมด ลดลง 21.93% จากปีก่อนหน้า
  • รถยนต์นั่ง HEV: ส่งออกได้ 31,196 คัน คิดเป็น 5.18% ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 490.50% จากปีก่อนหน้า
  • รถ PPV: ส่งออกได้ 77,983 คัน คิดเป็น 12.94% ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้น 14.36% จากปีก่อนหน้า
  • มูลค่าการส่งออกรถยนต์รวมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 419,872.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าการส่งออกเครื่องยนต์ลดลง 5.83% อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และอะไหล่เพิ่มขึ้น 7.76% และ 12.24% ตามลำดับ ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 567,180.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

แม้การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนกรกฎาคม 2567 จะเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์โลก แต่ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปียังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์นั่ง HEV และรถ PPV การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงการแสวงหาตลาดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกยานยนต์ของไทยในอนาคต

ภาพรวมการส่งออกรถจักรยานยนต์ไทย เดือนกรกฎาคม 2567

ตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยมียอดส่งออกรวม (CBU + CKD) อยู่ที่ 58,757 คัน เพิ่มขึ้น 7.39% จากเดือนมิถุนายน แต่ลดลง 8.53% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,624.92 ล้านบาท ลดลง 18.72% จากปีก่อน

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์: มูลค่าการส่งออกลดลง 21.33% จากปีก่อน เหลือเพียง 240.21 ล้านบาท
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์: มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 13.83% จากปีก่อน เป็น 209.81 ล้านบาท
  • รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนและอะไหล่ในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 5,074.94 ล้านบาท ลดลง 17.88% จากปีก่อน

ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปี

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 การส่งออกรถจักรยานยนต์รวม (CBU + CKD) อยู่ที่ 473,075 คัน ลดลง 3.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 37,354.60 ล้านบาท ลดลง 10.10%

  • ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์: มูลค่าการส่งออกลดลง 20.45% จากปีก่อน เหลือเพียง 1,450.71 ล้านบาท
  • อะไหล่รถจักรยานยนต์: มูลค่าการส่งออกลดลง 19.36% จากปีก่อน เหลือเพียง 1,011.83 ล้านบาท
  • รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนและอะไหล่ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 39,817.14 ล้านบาท ลดลง 10.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

มูลค่าการส่งออกรวม

เมื่อรวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่น ๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 จะอยู่ที่ 86,509.24 ล้านบาท ลดลง 12.10% จากปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมตั้งแต่ต้นปี (มกราคม - กรกฎาคม 2567) มูลค่าการส่งออกรวมอยู่ที่ 606,997.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2567 เผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการส่งออกตั้งแต่ต้นปียังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตเล็กน้อย การปรับตัวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงการแสวงหาตลาดใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทยในอนาคต

แชร์

ยอดขาย-ยอดผลิตรถยนต์ หดตัวถึง 20% เหตุแบงก์คุมเข้ม หนี้ครัวเรือนสูง