สำนักข่าว Aljazeera รายงานว่า สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงซึ่งเป็นกองทัพชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมียนมาได้ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารที่ยังคงดำเนินการโจมตีทางอากาศ โดยพุ่งเป้าหมายไปที่พื้นที่พลเรือน แม้ว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากแผ่นดินไหวก็ตาม
ด้านคริส กันเนส ผู้อำนวยการโครงการ Myanmar Accountability Project หน่วยงาน NGO ในเมียนมา ระบุว่า นี่เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง แม้ว่าแผ่นดินไหวจะรุนแรงมาก แต่เครื่องบินรบของกองทัพกลับโจมตีเป้าหมายในเมืองสะกาย โดยไม่แบ่งแยกทหารของกลุ่มชาติพันธุ์กับพลเรือน อีกทั้งยังอ้างว่า เครื่องบินเหล่านั้นใช้ในการส่งความช่วยเหลือให้ประชาชน นอกจากนี้ กินเนสยังเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ระงับการอนุญาตให้กองทัพใช้เครื่องบินขับไล่ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องร่อนติดเครื่องยนต์ และโดรน
การร้องเรียนดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางเมียนมากำลังเผชิญความบอบช้ำจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้หน่วยกู้ภัยในเมียนมากำลังเร่งให้ความช่วยเหลือเหยื่อที่ติดอยู่ในซากอาคาร และกอบกู้ร่างผู้เสียชีวิต ล่าสุดมีรายงานว่าพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1,700 คน และผู้บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 3,400 คน แม้หลายหน่วยงานประเมินแล้วว่าอาจมีผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นเกินหมื่นราย
สื่อต่างชาติรายงานว่า ปฏิบัติการกู้ภัยของเมียนมาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากขาดแรงงานและอุปกรณ์ที่เหมาะสม การค้นหาผู้รอดชีวิตดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งใช้มือและพลั่วเคลื่อนย้ายเศษซากตึกที่ถล่ม ท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนจัดราว 41 องศาเซลเซียสในช่วงกลางวัน และได้รับความช่วยเหลือจากรถขุดแบคโฮลในบางจุดเท่านั้น
คารา แบร็กก์ ผู้จัดการ Catholic Relief Services องค์การ NGO ของเมียนมา ซึ่งประจำอยู่ที่ย่างกุ้ง กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ที่พยายามค้นหาผู้คนที่เขารัก แม้บางประเทศกำลังส่งทีมค้นหาและกู้ภัยไปที่มัณฑะเลย์เพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ แต่โรงพยาบาลต่าง ๆ กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อรับมือกับผู้ได้รับบาดเจ็บที่ไหลบ่าเข้ามา อีกทั้งยังขาดแคลนเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และผู้คนต้องดิ้นรนเพื่อหาอาหารและน้ำสะอาด
ชาวเมืองมัณฑะเลย์จำนวน 1.5 ล้านคนต้องนอนบนท้องถนนตลอดคืน โดยบางคนต้องกลายเป็นคนไร้บ้านจากแผ่นดินไหวที่สั่นสะเทือนประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งประชาชนยังต้องอาศัยอยู่บนความหวาดกลัวจากเหตุอัฟเตอร์ช็อกหลายระลอก ที่ทำให้อาคารทรุดตัวจากเหตุแผ่นดิยไหวก็พังทลายลงมามากกว่าเดิม
แม้ว่าท่าอากาศยานมัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องยกเลิกเที่ยวบินพาณิชย์ทั้งหมด แต่พันธมิตรอย่างจีนกับรัสเซีย และนานนานาประเทศพยายาม เร่งส่งความช่วยเหลือไปยังเมียนมาได้สำเร็จ
ทางการจีนเปิดเผยว่าได้ส่งหน่วยกู้ภัยชุดใหญ่จากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เดินทางถึงกรุงเนปิดอว์ตั้งแต่คืนวันเกิดเหตุแผ่นดินไหว เพื่อเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตในพื้นที่ พร้อมอุปกรณ์ที่มีความทันสมัย เช่น เครื่องตรวจจับชีพจรที่มีประสิทธิภาพสูง ดาวเทียมพกพา ระบบแจ้งเตือนแผ่นไหว โดรน รวมถึงทีมแพทย์และอุปกรณ์บรรเทาทุกข์อื่น ๆ ขณะที่กระทรวงเหตุฉุกเฉินของรัสเซีย ได้แจ้งว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยเดินทางออกจากสนามบินซูคอฟสกีในมอสโก มายังเมียนมาแล้ว พร้อมเครื่องบิน 2 ลำ
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือดังกล่าวถูกตั้งคำถามจากหน่วยงานภาคเอกชนและ NGO ในพื้นที่ว่า การบรรเทาทุกข์จากต่างประเทศให้ความสำคัญกับรัฐบาลทหารก่อนหรือไม่ เนื่องจากกองทัพเมียนมาจัดหน่วยกู้ภัยปฏิบัติการในพื้นที่สำนักงานราชการและที่พักข้าราชการเป็นอันดับแรก ขณะที่ประชาชนยังต้องใช้มือเปล่าขุดเศษซากอาคาร