หอการค้าไทยแสดงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ คาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 8,000 ล้านบาท พร้อมเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ ในขณะเดียวกัน หอการค้าไทยยังมั่นใจว่าโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ในปีนี้นั้นต่ำ แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบและภาคธุรกิจ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป จากการประเมินเบื้องต้นของหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% ของ GDP หากสถานการณ์สามารถคลี่คลายได้ภายใน 15 วัน
ภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด คือ ภาคการเกษตร คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 7,168 ล้านบาท หรือเกือบ 90% ของความเสียหายทั้งหมด ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบรองลงมา โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย พะเยา และสุโขทัย
สถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากหลายจังหวัดยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีฝนตกหนักในพื้นที่ท้ายเขื่อน หากสถานการณ์ยืดเยื้อเป็นระยะเวลานานถึง 1 เดือนและขยายขอบเขตความเสียหายออกไป ความเสียหายทางเศรษฐกิจอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาท หรือ 0.06% ของ GDP และ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า เพื่อบูรณาการการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาวิกฤตอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
นายสนั่น อังอุบลกุล ได้เสนอแนะให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ออุทกภัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้การสั่งการและการดำเนินนโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการบูรณาการการทำงานข้ามกระทรวง นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ รวมถึงปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกท้ายเขื่อนในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำได้ หากรัฐบาลมีแผนเชิงป้องกันที่ชัดเจนล่วงหน้า ก็จะสามารถลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้อย่างมาก
จากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงสรุปว่าสถานการณ์น้ำในปี 2567 มีความแตกต่างจากปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ และโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในลักษณะเดียวกับปี 2554 นั้นมีความเป็นไปได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะยังไม่คลี่คลาย แต่หอการค้าฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือ ซ่อมแซม และฟื้นฟูแก่ประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เช่น ประชาชนที่บ้านเรือนจมอยู่ใต้น้ำหรือได้รับความเสียหายทั้งหมด ควรได้รับเงินชดเชยหรือเงินช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ในขณะที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องได้รับการสำรวจและประเมินความเสียหายอย่างรวดเร็วเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการฟื้นฟู
นอกจากนี้ หอการค้าฯ ยังเสนอให้รัฐบาลผลักดันนโยบายเพื่อให้สถาบันการเงินของรัฐเร่งดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น การพักชำระหนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย หรือแม้แต่การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยในการปรับปรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูเครื่องมือและอุปกรณ์ในการประกอบธุรกิจ มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจการและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว